1. โรคถุงลมโป่งพอง
โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่เนื้อปอดค่อยๆ เสื่อมสมรรถภาพจากการได้รับควันบุหรี่ ตามปกติแล้วพื้นที่ในปอด จะมีถุงลมเล็กๆ กระจายอยู่เต็มทั่วปอด เพื่อทำหน้าที่รับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย
สารไนโตรเจนไดออกไซด์ในควันบุหรี่ จะทำลายเนื้อเยื่อในปอดและถุงลมให้ฉีกขาดทีละน้อย และรวมตัวกลายเป็นถุงลมที่มีขนาดใหญ่ขึ้นเกิดโรคถุงลมโป่งพอง
โรคถุงลมโป่งพองมีผลทำให้พื้นที่ผิวเนื้อเยื่อภายในปอด ซึ่งเป็นที่รับออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายไม่เพียงพอโรคถุงลมโป่งพองนี้ในระยะท้ายๆ ของโรคจะทำให้ผู้ป่วยทรมานมาก เนื่องจากเหนื่อยจนทำอะไรไม่ได้
การรายงานการศึกษาพบว่าร้อยละ 70 ของผู้ป่วยที่อาการอยู่ในระยะสุดท้ายจะตายภายใน 10 ปีโดยมีอาการเหนื่อย หอบตลอดเวลาจนกว่าจะเสียชีวิต
คนไทยตายจากโรคถุงลมโป่งพองปีละ 10,427 คน
2. โรคหลอดเลือดหัวใจ
การสูบบุหรี่เป็นสาเหตุของโรคหลอดเลือดหัวใจที่ป้องกันได้ที่สำคัญที่สุด เมื่อเทียบกับสาเหตุของโรคหัวใจอื่นๆ เช่น ไขมันในเลือดสูงความดันโลหิตสูง เบาหวาน ซึ่งล้วนเกิดจากกรรมพันธุ์และการกินดีอยู่ดีเกินไปตามกระแสสังคม
ขณะนี้โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับหนึ่งในสามอันดับแรกของคนไทย โดยส่วนใหญ่เป็นหลอดเลือดหัวใจตีบซึ่งการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุที่สำคัญ
สารพิษในควันบุหรี่ทำให้เกิดโรคหัวใจที่สำคัญ ได้แก่ นิโคติน ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และสารก่ออนุมูลอิสระ โดยการสูบบุหรี่ทำให้เกิดการหดตัวของหลอดเลือด และเกิดก้อนเลือดในหลอดเลือดหัวใจ รูหลอดเลือดหัวใจจึงตีบลง ทำให้เลือดผ่านได้น้อยจนเป็นอุปสรรคต่อการนำเลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ และเกิดภาวะหลอดเลือดหัวใจตีบตัน จนหัวใจขาดเลือด หรือกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ทำให้เกิดอาการุกเสียดเจ็บหน้าอก จนถึงขั้นทำให้หัวใจวาย หรือเสียชีวิตเฉียบพลัน
คนไทยตายจากโรคหัวใจและหลอดเลือดจากการสูบบุหรี่ปีละ 7,907 คน
3. โรคมะเร็งปอด
โรคมะเร็งปอด การเกิดโรคมะเร็งปอดระยะแรกจะไม่มีอาการ เมื่อมีอาการแสดงว่าโรคเป็นมากแล้ว อาการที่พบคือ ไอเรื้อรังไอเสมหะมีเลือดปน น้ำหนักลด อ่อนเพลียมีไข้เล็กน้อย เจ็บหน้าอก ซึ่งเป็นอาการร่วมของโรคต่างๆ ได้หลายชนิด จึงมักทำให้ผู้ป่วยมาหาแพทย์ช้า และการวินิจฉัยโรคล่าช้า
สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็งปอดในระยะที่เป็นมากแล้วจะมีอาการไอเป็นเลือด น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว ปวดกระดูกซี่โครงและไหปลาร้า หรือสะบัก อาจมีอาการหอบเหนื่อย บวมบริเวณหน้า คอ แขน และอกส่วนบน กลืน อาการลำบาก ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะและอุจจาระได้
โดยเฉลี่ยผู้ป่วยจะมีชีวิตอยู่ได้หลังจากเริ่มมีอาการประมาณ 6 เดือน หรือร้อยละ 80 จะเสียชีวิตภายใน 1 ปี และแม้ว่าจะให้การรักษาอย่างดี ก็จะมีอัตราการรอดชีวิตเพียงร้อยละ 2 ถึง 5 เท่านั้น ร้อยละ 90 ของมะเร็งปอดมีสาเหตุมาจากการสูบบุหรี่ ในผู้ที่ไม่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งปอดนั้น พบว่า ร้อยละ 30 เป็นผลจากการที่ได้รับควันบุหรี่ที่ผู้อื่นสูบ
คนไทยตายจากโรคมะเร็งปอดจากการสูบบุหรี่ปีละ 9,979 คน
สารพิษในบุหรี่
บุหรี่ 1 มวน ประกอบด้วย ในยาสูบ กระดาษที่ใช้มวน และสารเคมีหลายร้อยชนิดที่ใช้ในการปรุงแต่งกลิ่นและรส เมื่อเกิดการเผาไหม้จะทำให้เกิดสารเคมีมากกว่า 4,000 ชนิด สารหลายร้อยชนิด มีผลต่อการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย และสาร 60 ชนิด เป็นสารก่อมะเร็ง
สารพิษที่สำคัญ ได้แก่
- นิโคติน (Nicotine) มีลักษณะคล้ายน้ำมันไม่มีสี เป็นสารที่ทำให้เกิดการเสพติด และทำให้เกิดโรคหัวใจ
- ทาร์ (Tar) ประกอบด้วยสารหลายชนิด เป็นละอองเหลวเหนียวสีน้ำตาลคล้ายน้ำมันดิน สารก่อมะเร็งส่วนใหญ่จะอยู่ในสารทาร์นี้
- คาร์บอนมอนอกไซด์ (Carbon Monoxide) เป็นก๊าซชนิดเดียวกับที่พ่นออกจากท่อไอเสียรถยนต์ก๊าซนี้จะขัดขวางการลำเลียงออกซิเจนของเม็ดเลือดแดง ทำให้ผู้สูบบุหรี่ ได้รับออกซิเจนน้อยลงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 10 – 15 หัวใจต้องเต้นเร็วขึ้น และทำงานมากขึ้นทำให้หัวใจวายได้
คนไทยตายวันละ 115 คน
คนไทย ตายจากการสูบบุหรี่วันละกี่คน ในแต่ละปีคนไทยเสียชีวิตจากโรคที่เกิดจากการสูบบุหรี่ปีละ 42,000 คน หรือวันละ 115 คน หรือชั่วโมงละ 5 คน ทั่วโลกมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคอันเนื่องจากการสูบบุหรี่ปีละ 5.4 ล้านคน หรือวันละ 14,800 คน องค์การอนามัยโลกได้คำนวณไว้ว่า ในอีกประมาณ 25 ปีข้างหน้า ทั่วโลกจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคอันเนื่องมาจากการสูบบุหรี่สูงขึ้นเป็นปีละ 10 ล้าน หรือวันละ 27,000 คน หรือนาทีละ 20 คน
เซอร์ริชาร์ด ปิโต ศาสตราจารย์ด้านระบาดวิทยาฯ มหาวิทยาลัยออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษ ได้ศึกษาพบว่าครึ่งหนึ่งของผู้สูบบุหรี่ จะเสียชีวิตด้วยโรคจากการสูบบุหรี่ โดย 1 ใน 4 จะเสียชีวิตในวัยกลางคน
การเลิกสูบบุหรี่จะทำให้สุขภาพดีขึ้นและลดอัตราการเสียชีวิตของผู้สูบบุหรี่ลงได้ โดยพบว่า ผู้สูบบุหรี่ที่เลิกก่อนอายุ 30 ปี จะลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอดได้เกือบทั้งหมด ในขณะที่ถ้าเลิกสูบบุหรี่ก่อนอายุ 50 ปี จะลดความเสี่ยงต่อโรคนี้ได้ครึ่งหนึ่ง
ที่มา
มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่