ปัจจุบันประชาชนให้ความใส่ใจต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น ข้อมูลด้านโภชนาการก็เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ในช่วงที่ผ่านมามีคำแนะนำด้านโภชนาการว่าควรลดการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 ลง (โอเมก้า 6พบมากในน้ำมันพืช และโอเมก้า 3 พบมากในน้ำมันปลา) เนื่องจากกรดลิโนเลอิกในกรดไขมันโอเมก้า 6 อาจจะเกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบของร่างกายได้

แต่เมื่อเร็วๆ นี้ theheart.org รายงานว่าสมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกาออกมาประกาศว่า ประชาชนไม่ควรลดสัดส่วนของการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 ลง เนื่องจากจริงๆ แล้วการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 ไม่ได้ทำให้กระบวนการต่างๆ ทางชีวเคมีเปลี่ยนแปลงไป และไม่ว่าจะบริโภคกรดไขมันโอเมก้า 6 เพิ่มขึ้นหรือลดลง ก็ไม่เกี่ยวข้องกับกระบวนการอักเสบของร่างกาย เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า 6 ก็มีฤทธิ์ต้านการอักเสบเช่นกัน

นอกจากนี้ยังพบว่าโอเมก้า 6 ในน้ำมันข้าวโพด น้ำมันหญ้าฝรั่นนั้น เป็นที่ยอมรับกันมานานแล้วว่า เป็นสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพ และการบริโภคอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้า 6 ก็สามารถช่วยให้หลอดเลือดมีสุขภาพดีได้ นอกจากนี้ผู้เชี่ยวชาญของสมาคมโรคหัวใจสหรัฐอเมริกายังกล่าวอีกว่าประชาชนควรมุ่งเน้นที่การบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากกว่าการสนใจเรื่องสัดส่วนของกรดไขมันโอเมก้า

แต่ยังมีนักวิจัยบางท่านโต้แย้งว่า ประชาชนควรรับประทานอาหารที่มีกรดไขมันโอเมก้าเหล่านี้ในสัดส่วนที่เหมาะสม คือ โอเมก้า 6 : โอเมก้า 3 เท่ากับ 2:1 หรือ 1:1 เนื่องจากอาหารอเมริกันและอาหารตะวันตกนั้น มีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้า 6 มากเกินไป แม้จะรับประทานอาหารตามปกติ แต่ร่างกายก็จะได้รับกรดไขมันโอเมก้า 6 ในปริมาณที่มากกว่าโอเมก้า 3 อยู่นั่นเอง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าหากร่างกายได้รับกรดไขมันโอเมก้า 6 มากเกินไปจะทำให้เกิดผลกระทบต่อกระบวนการทางชีวเคมีของร่างกายและกรดลิโนเลอิก อาจจะรบกวนกระบวนการต้านการอักเสบได้เช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม
Medscape : AHA Champions Omega-6 PUFAs to Counter Popular Nutrition Advice (กรุณาลงทะเบียนก่อนเข้าชม)

ภาพจาก Flickr.com