กระทรวงสาธารณสุขจับมือ 7 หน่วยงานหนุนตั้งมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ เอื้อให้แม่หลังคลอดที่ต้องทำงานและต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ สามารถเก็บน้ำนมแม่กลับไปให้ลูกดื่มที่บ้านได้ ไม่ต้องเสียเงินซื้อนมผง ประหยัดรายจ่ายซื้อนมผงได้ถึงปีละ 14,400 ล้านบาท ตั้งเป้าให้หญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 30 ภายในปี 2555
กระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายสนับสนุนให้หลังหลังคลอดซึ่งมีปีละประมาณ 800,000 คน เลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียวติดต่อกันนาน 6 เดือน จากการรณรงค์ให้หญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน และเลี้ยงพร้อมอาหารตามวัยจนลูกอายุ 2 ปีหรือมากกว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2550 ถึงตุลาคม 2551 พบว่าหญิงไทยเริ่มรู้ถึงประโยชน์ของนมแม่มากขึ้น และหันมาเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนร้อยละ 14 เพิ่มขึ้นจากปี 2548 ที่มีเพียงร้อยละ 5 เท่านั้น
นมแม่เป็นอาหารที่เหมาะสมที่สุดสำหรับทารกตั้งแต่อายุแรกเกิด – 2 ปี มีสารอาหารมากกว่า 200 ชนิด เด็กที่กินนมแม่ติดต่อกัน 6 เดือน จะช่วยให้มีสุขภาพดี เจ็บป่วยน้อยกว่ากินนมผสม 2-7 เท่าตัว ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ร้อยละ 40 โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวได้ร้อยละ 20 และโรคอ้วนร้อยละ 22 และยังช่วยให้เด็กมีไอคิวดีกว่าเด็กที่กินนมผสม 2 – 11 จุด การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ยังมีผลดีโดยตรงต่อสุขภาพของผู้ที่เป็นแม่ โดยจะลดโอกาสเกิดมะเร็งเต้านมและรังไข่ รวมถึงเกิดโรคกระดูกพรุนได้ด้วย
กระทรวงสาธารณสุข จึงมีนโยบายรณรงค์และกระตุ้นให้หญิงไทยเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนให้ได้ร้อยละ 30 ภายใน พ.ศ.2555 ซึ่งการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน สามารถประหยัดรายจ่ายในการซื้อนมผสมได้ถึงเดือนละ 3,000 บาท ประเทศไทยมีเด็กคลอดใหม่ปีละ 800,000 คน การกินนมแม่อย่างเดียว 6 เดือนจึงช่วยประหยัดรายจ่ายซื้อนมผสมได้ถึงปีละ 14,400 ล้าน
การสนับสนุนให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบกิจการ เพื่อช่วยให้แม่ที่ต้องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่สามารถ บีบ เก็บ ตุน น้ำนมตามเวลาที่กำหนดระหว่างเวลาปฏิบัติงานที่มุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ และนำกลับไปให้ลูกทานที่บ้านได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร ทางด้านวิชาการ จัดทำสื่อ เอกสารความรู้การส่งเสริมและสนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ในสถานประกอบ กิจการ จัดทำเกณฑ์มาตรฐานมุมนมแม่ในสถานประกอบกิจการ พัฒนาศักยภาพเจ้าหน้าที่สาธารณสุขภาครัฐ เอกชน ตลอดจนภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อการส่งเสริมการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่
ที่มา กระทรวงสาธารณสุข