เราคงจะได้ยิน สุภาษิต คำพังเพย คำกลอน ที่เกี่ยวกับคำพูดกันมาแล้วมากมาย เช่น
“พูดดีเป็นศรีแก่ปาก พูดมากปากจะเป็นสี”
“พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง”
“สำเนียงส่อภาษา กริยาส่อสกุล”
“พูดมะนาวไม่มีน้ำ”
“พูดขวานผ่าซาก”
“ปากหวานก้นเปรี้ยว”
“พูดจนน้ำท้วมทุ้ง ผักบุ้งโหลงเหลง”
“อันอ้อยตาลหวานลิ้นแล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย”
“อันเจ็บอื่นหมื่นแสนยังแคลนคลาย เจ็บไม่วายเหมือนเหน็บให้เจ็บใจ ”
ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คำพูดของคนเรานั้นมีความสำคัญมาก และควรระมัดระวังในการใช้คำพูดกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่น้อง ญาติมิตร เพื่อนร่วมงาน เจ้านายหรือลูกน้อง และผู้อื่นที่เกี่ยวข้องกับเราในชีวิตประจำวัน เพราะในบางครั้ง คำพูดของเรานั้นอาจไปทำร้ายจิตใจของผู้อื่น โดยที่เราตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม ผู้พูด พูดแล้วบางครั้งก็อาจจะลืมไปว่าตัวเองพูดอะไรไปบ้าง แต่สำหรับผู้ฟังนั้น ยังคงจดจำฝังใจอยู่มิรู้ลืม ฉะนั้นก่อนที่เราจะพูดอะไรออกจากปากของเรานั้น เราควรจะต้องคิดตรึกตรองให้ดีเสียก่อน ไม่พูดตามใจตัวเองโดยไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร สิ่งเหล่านี้ทุกคนคงทราบดีกันอยู่แล้ว แต่การปฏิบัติในชีวิตจริงนั้นบางครั้งทำได้ยาก เพราะส่วนใหญ่ เราจะนำอารมณ์ต่างๆเข้ามีอิทธิพลในการพูดด้วยเสมอ ทำให้คำพูดที่พูดออกมาแตกต่างกันไป เช่น พูดในขณะที่อารมณ์ร่าเริง มีความสุข สนุกสนาน อารมณ์ตลกขบขัน เครียด หงุดหงิด เศร้าเสียใจ แต่ที่น่ากลัว คือ อารมณ์โกรธ ซึ่งเป็นตัวการร้ายที่จะทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ในพริบตา เพราะเมื่อเราโกรธ โมโห ก็จะใช้คำพูดที่รุนแรงสาดใส่กัน เหมือนกองไฟที่กำลังลุกโซน พร้อมที่จะทำร้ายให้อีกฝ่ายหนึ่งมอดไหม้ลงไป เพียงเพื่อความสาแก่ใจของตนเอง ดังนั้นในขณะที่เรารู้สึกโกรธ เราควรฝึกระงับความโกรธให้ได้ และพยายามหลีกเลี่ยงการพูดคุย การโต้เถียง หรือปะทะในขณะนั้น โดยการแยกตัวออกมาจากสถานการณ์นั้นเสียก่อน เพื่อกลับมาตั้งหลัก ทำจิตใจให้สงบเยือกเย็นลง แล้วค่อยหันหน้ามาพูดคุยกันใหม่ดีๆ และรับฟังเหตุผลซึ่งกันและกัน เพื่อดำรงไว้ซึ้งสัมพันธภาพอันดีที่เคยมีต่อกัน
การใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้น เราไม่สามารถหลีกเลี่ยงการสื่อสาร พูดคุยกับผู้อื่นได้ ดังนั้นเราควรหมั่นฝึกฝนในการพูดจาสร้างสรรค์กับผู้อื่น โดยใช้คำพูดดีๆ สุภาพ นุ่มนวล อ่อนหวาน อ่อนโยน ไพเราะนุ่มหุ พูดจามีหางเสียง ไม่แข็งกระด้าง กระโชกโฮกฮาก มีคำลงท้ายด้วยคำว่า”ค่ะ”หรือ”ครับ” ก็จะทำให้น่าฟังมากยิ่งขึ้น คำพูดเหล่านี้ ถ้าทำได้ หรือสามารถฝึกฝนให้เกิดความเคยชินเป็นนิสัยได้ ก็จะเป็รื่องที่วิเศษมาก ทำให้ผู้ที่เราติดต่อสื่อสารด้วย เกิดความรู้สึกที่ดี ประทับใจ และทำให้การติดต่อประสานงานกัน เกิดมิตรภาพ ความร่วมมือ การช่วยเหลือเกื้อกูล การยอมรับ กำลังใจ และ ฯลฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งต่อชีวิตของเรา ทั้งในชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัว
คำพูดต่างๆในเชิงสร้างสรรค์ มีเป็นจำนวนมาก ในที่นี้จะกล่าวถึงคำพูดที่ควรพุดให้ติดปากดังนี้
คำพูดทักทาย
เมื่อเจอหน้ากัน เราควร กล่าวคำว่า”สวัสดี”พร้อมมอบรอยยิ้มให้แก่กัน อาจจะพนมมือไหว้ด้วยก็ได้ ถ้าผู้ที่เราทักทายด้วยอาวุโสกว่าเรา การกล่างคำว่า สวัสดี และไหว้กันนั้น เราถือเป็นวัฒนธรรมที่งดงาม เป็นเสน่ห์ และเอกลักษณ์ของไทย ซึ่งเป็นของล้ำค่าที่เราทุกคนควรจะช่วยกันผดุงรักษาเอาไว้ ให้อยู่กับคนไทยตลอดไป นอกจากนี้ การกล่าว สวัสดีต่อกัน ยังเป็นการเรียนรู้ที่จะมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่นอีกด้วย เพราะผู้ที่ถูกทักทาย จะรู้สึกยินดี ที่เราให้ความสำคัญ และสนใจในตัวเขา ถ้าเป็นผู้ใหญ่กว่าเรา ก็จะเกิดความรู้สึกว่า เด็กคนนี้ มีกริยามารยาทดี มีสัมมาคารวะ ให้ความเคารพ หรืออ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่
คำพูดชื่นชม
เราควรรู้กล่าวชมผู้อื่นในเรื่องต่างๆ เช่น ชื่นชมในเรื่อง รูปร่าง หน้าตา บุคลิกภาพ การทำงาน การปฏิบัติตน และ ฯลฯ รวมถึงการแสดงความชื่นชม ยินดีกับผู้อื่นในโอกาส และวาระ ที่เขามีความสุขประสบความสำเร็จในชีวิต ความก้าวหน้าในหน้าที่การงานธุรกิจ และอื่นๆ ตัวอย่างคำกล่าวชม เช่น
“รูปร่างของคุณดีจังเลยนะคะ”
“ผมคุณดำสลวยสวยมากเลยค่ะ”
“ตาคุณกลมโต สวยสดใสจังเลยค่ะ”
“โอ้โฮ! ทรงผมใหม่ของคุณเก๋และทันสมัยจังเลยค่ะ”
“คุณใส่ชุดนี้แล้วสวยงามจริงๆช่างเหมาะกับคุณมากที่เดียวค่ะ”
“คุณทำงานเก่ง และขยันมากเลยนะคะ”
“คุณเป็นคนดี และมีน้ำใจกับทุกคนเลย”
“ขอแสดงความยินดีกับตำแหน่งใหม่ของคุณด้วยนะคะ”
ยังมีคำพูดอื่นๆอีกมาย ที่จะนำมาพูดจาชมกัน ใครอยากจะชมอะไรก็ได้ แต่ขอให้มาจากพื้นฐานความเป็นจริง และมีความจริงใจต่อกัน ไม่ใช้เป็นการพูดเพื่อเอาใจกัน ยกยอกันเกินไปมนุษย์ทุกคนอยากจะได้รับคำชื่นชมจากคนอื่นด้วยกันทั้งนั้น เพราะคำชม ทำให้เราเกิดความรู้สึกดีๆ สุขใจ ภาคภูมิใจ และ มีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่างๆ ให้ดียิ่งขึ้น ดังนั้นเราจึงควรหัดชมผู้อื่นให้เป็นและควรหลีกเลี่ยงการตำหนิ ติเตียนผู้อื่นตรงๆ เพราะไม่มีใครอยากให้ผู้อื่นมาตำหนิจุดด้อย หรือส่วนที่ไม่ดีของตัวเองหรอก
การกล่าวคำขอบคุณ
เมื่อใครกามที่มีน้ำใจทำอะไรให้กับเรา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือเรื่องใหญ่และสำคัญก็ตาม เช่น มีคนลุกให้เรานั่งบนรถเมล์ หรืออาจจะช่วยถือของให้ บางคนช่วยกดลิฟท์ให้ เปิดประตูให้ บางคนให้สิ่งของแก่เรา ให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ให้กำลังใจ ให้คำปลอบโยน ให้คำสั่งสอนตักเตือน อำนวยความสะดวกในเรื่องต่างๆ ให้การบริการที่ดี และ อื่นๆ เราก็ควรกล่าวคำว่า “ขอบคุณ”กับผู้นั้นเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นมารยาททางงสังคมที่เราควรปฏิบัติแล้ว การขอบคุณยังเป็นการแสดงให้เขาได้รู้ว่า เรามีความรู้สึกรับรู้ และซาบซึ้งในสิ่งที่เขาทำให้กับเรา ด้วยจิตใจที่เมตตากรุณาของเขาที่มีต่อเรา เป็นสิ่งที่ดีงาม มีคุณค่า มีความหมาย และมีคุณประโยชน์ กับเรามาก เราควรฝึกพูด”ขอบคุณ”ให้ติดปากไว้เสมอ ไม่มีอะไรเสียหายเลยมีแต่จะได้ประโยชน์และก่อให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน
การกล่าวคำขอโทษ
เราควรรู้จักกล่าวคำว่า”ขอโทษ” กับผู้อื่นเสมอ ในกรณีที่เราสร้างความรำคาญไปรบกวน หรือ ทำให้ผู้อื่นเกิดความไม่สบายกาย สบายใจ ในสถานการณ์ต่าง เช่น เราอาจจะเดินไปชนผู้อื่นอย่างแรง หรือเหยียบเท้า ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บโดยไม่ตั้งใจ การทำงานที่ผิดพลาด การใช้คำพูดที่รุนแรง พูดไม่ดี กับผู้อื่น และเรารู้ตัวว่าเรารู้สึกผิดในสิ่งที่เรากระทำลงไปนั้น จะด้วยเหตุผลใดๆก็ตามขอโทษกับผู้ที่ถูกกระทำ โดยไม่ต้องลังเลใจ ซึ้งในบางครั้งเราอาจเกิดจากทิฐิ หรือกลัวจะเสียหน้า ไม่ยอมขอโทษ และยอมรับความผิดของตน แต่เราควรระลึกถึงคำพูดหนึ่งที่เคยกล่าวไว้ว่า “สี่เท้ายังรู้พลาดนักปราชญ์ยังรู้พลั้ง” และเราล่ะ เป็นแค่มนุษย์ ปุถุชน คนธรรมดาเท่านั้นเอง ก็ยอมจะทำอะไรผิดพลาดกันได้ ไม่เห็นแปลกอะไร ดังนั้น เมื่อเราทำผิดแล้ว ต้องรู้จักขอโทษ และสำนึกผิดในการกระทำของตนเอง และครั้งต่อไปเราจะต้องพยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาดซ้ำอีก และเมื่อกล่าวคำขอโทษแล้ว ก็ควรจะให้อภัยกัน ไม่โกรธเคืองกัน
การแสดงความเสียใจ
เมื่อเห็นผู้อื่นกำลังเสียใจ เศร้าใจ ทุกข์ใจ ในเรื่องใดๆก็ตาม เช่น สูญเสียสิ่งหนึ่งสิ่งใดในชีวิต เราควรแสดงความเสียใจกับเขา และพูดกับเขาด้วยคำพูดที่ปลอบโยน ให้ความเห็นใจและเข้าใจ ไม่พูดจาซ้ำเติมในความทุกข์ที่เขากำลังเผชิญอยู่ เพราะในขณะนั้นเขาก็มีความทุกข์มากพออยู่แล้ว สิ่งที่เขาอยากได้มากที่สุด คือกำลังใจ เพื่อเขาจะได้มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้และเผชิญกับชีวิตต่อไปอย่างเข้มแข็ง
นอกจากคำพูดที่กล่าวมาแล้วนี้ ยังมีคำพูดเชิงสร้างสรรค์อีกมาก ส่วนใหญ่ทุกท่านก็มีความรู้และความเข้าใจในเรื่องนี้กันดีอยู่แล้ว แต่ผู้เขียน เขียนเรื่องนี้เพียงเพื่อต้องการเน้นย้ำถึงความสำคัญของ”คำพูด” เพราะบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องนี้กันมากนัก ซึ่งตัวผู้เขียนเอง ใช่ว่าจะปฏิบัติได้ถูกต้องและครบถ้วน แต่ก็พยายามฝึกฝนตนเองต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะทำได้ มีคำกล่าวเอาไว้ว่า “หนทางข้างหน้าอีกยาวไกล แต่ชีวิตของคนเรานั้นสั้นนัก เราคงจะอยู่กันได้ไม่เกินร้อยปี” ดังนั้น เมื่อเรายังมีชีวิตอยู่ร่วมกัน ก็จงอยู่ร่วมกันด้วยความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีต่อกัน อุดหนุน เกื้อกูล ถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน โดยใช้คำพูดเชิงสร้างสรรค์ สวยงาม จรรโลงใจ เป็นสื่อสัมพันธ์ระหว่างกัน และเราจะไม่พูดจาทำร้ายจิตใจกัน ไม่เกรี้ยวกราด ด่าทอ ใส่ร้ายป้ายสี ส่อเสียด ประชดประชัน กระทบกระเทียบเปรียบเปรย และ คำพูด ต่างๆ นานา ที่ไม่ดีต่อกัน ถ้าทำได้ดังนี้ ชีวิตของเราทุกคนก็พบแต่ความสุข และรอยยิ้ม มอบให้แก่กันตลอดไป
กลุ่มช่วยอำนวยการ
สำนักงานเลขานุการ
กรมวิทยาศาสตร์บริการ
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
เรื่องพวกนี้มันก็ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกในความเป็นคนด้วยค่ะ คนที่มีสมอง มีจิตใจนึกคิดในเรื่องเหล่านี้เค้าคงมีความคิดที่จะสำนึกในสิ่งที่ตนพูดไป ส่วนไอพวกไร้จิตสำนึกในความเป็นคน พูดอะไรไปก็มักจะไม่คิดหรอกค่ะว่าผู้ฟังรู้สึกอย่างไร ต่อให้เข้ามาอ่านบทความนี้ก็คงไม่คิดที่จะทำหรือว่าปรับปรุงตัวอย่างแน่นอนเลยค่ะ มีแต่มนุษย์ชั้นปัญญาชนเท่านั้น ที่จะเข้าใจ สำนึกในสิ่งที่ตนได้ทำไป แล้วสามารถปรับปรุงตัวเองได้