อ่าน: 2248
Small_font Large_font

Nimesulide (ไนมีซูไลด์ )

คำอธิบายพอสังเขป

ไนมีซูไลด์ (Nimesulide) เป็นยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือเรียกว่า NSAIDs (เอ็น – เสด) ใช้ในการบรรเทาอาการบางอาการที่มีสาเหตุมาจากข้ออักเสบ (ข้ออักเสบรูมาตอยด์) การอักเสบ บวม ตึง และเจ็บข้อ อย่างไรก็ตามยานี้ไม่ได้ใช้รักษาข้ออักเสบเพียงแค่ช่วยให้อาการของท่านดีขึ้นเท่านั้น

ยานี้ใช้ในการบรรเทาอาการปวดของสภาวะต่าง ๆ เช่น – เกาต์กำเริบ – การอักเสบของถุงเล็ก ๆ ที่บรรจุน้ำไขข้อ (bursitis) – เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis) – อาการตึง เคล็ดขัดยอก – ปวดประจำเดือน (menstrual cramps)

ก่อนการใช้ยา

การแพ้ยา

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ยาไนมีซูไลด์ (nimesulide) หรือ กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ตัวอื่น หรือ ส่วนประกอบใด ๆ ในยานี้ หรือ ยาต่อไปนี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่นๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น

แอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันของซาลิซิเลต (salicylates)
คีโทโรแลก (ketorolac)
ออกซี่เฟนบิวทาโซน (oxyphenbutazone)
ซูโพรเฟน (suprofen)
โซมิพีแรค (zomepirac)

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านมีประวัติเคยแพ้สารอื่น เช่น อาหาร สารกันเสีย หรือสีย้อม

อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง

ตั้งครรภ์

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'X' สำหรับสตรีมีครรภ์

จากการศึกษาในสัตว์หรือมนุษย์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ หรือมีหลักฐานชัดเจนจากการใช้ในมนุษย์ว่าเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ดังนั้นห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรือในสตรีที่มีความเสี่ยงที่จะตั้งครรภ์

ห้ามใช้ยานี้ เว้นแต่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องใช้โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอดเพราะยังไม่มีการศึกษาการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในสตรีตั้งครรภ์ อย่างไรก็ตามอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ต่อหัวใจหรือความดันโลหิตของตัวอ่อนในครรภ์หรือทารกแรกคลอดหากรับประทานยาเหล่านี้เป็นประจำใน 2-3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์

การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า หากรับประทานยาเหล่านี้ใน 2-3 เดือนสุดท้ายของการตั้งครรภ์ อาจทำให้การตั้งครรภ์นานขึ้น, ระยะเวลาของการคลอดนานขึ้นทำให้เกิดปัญหาในการคลอด

กำลังให้นมบุตร

แม้ว่ายาตัวอื่นๆ ที่ไม่มีรายงานว่าทำให้เกิดปัญหาหากให้นมบุตร แต่ยาเหล่านี้ก็สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมได้เช่นกัน

เด็ก

ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ไนมีซูไลด์ (Nimesulide) ในเด็ก

ผู้สูงอายุ

อาการไม่พึงประสงค์บางอย่างเช่น สับสน , หน้าบวม แขนหรือขาบวม , ปริมาณปัสสาวะลดลง อาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุซึ่งไวต่อฤทธิ์ของยามากกว่าในวัยอื่น ดังนั้นหากยาส่งผลต่อกระเพาะอาหาร สูงอายุอาจรู้สึกไม่สบายตัวได้มากกว่าวัยอื่นๆ

ยาอื่นที่ใช้อยู่

ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน แต่ในบางกรณีอาจต้องใช้ยาสองตัวนี้ร่วมกันแม้จะเกิดปฏิกิริยาต่อกันก็ตาม ในกรณีนี้แพทย์อาจต้องการปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือบอกข้อควรระวังบางประการ เมื่อท่านใช้ ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากกำลังใช้ยาต่อไปนี้

- ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) – เซฟาแมนโดล (cefamandole) – เซโฟเพอราโซน (cefoperazone) – เซโฟทีแทน (cefotetan) – เฮพาริน (heparin) – พลิคามัยซัน (plicamycin) – กรดวาลโพรอิก (valproic acid) โอกาสการเกิดเลือดออกเพิ่มขึ้น – แอสไพริน (aspirin) โอกาสเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้นหากใช้แอสไพรินร่วมกับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) ที่ใช้อยู่ก่อน – ซิโพรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin) – อีน็อกซาซิน (enoxacin) – อิทราโคนาโซล (itraconazole) – คีโทโคนาโซล (ketoconazole) – โลมีฟลอกซาซิน (lomefloxacin) – นอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin) – โอฟลอกซาซิน (ofloxacin) – ไซโคลสพอริน (cyclosporine) – ดิจิทัลลิส ไกลโคไซดิ์ (digitalis glycosides) – ลิเทียม (lithium) – เมโทเทรกเซต (methotrexate) – ฟีนีตอยน์ (phenytoin) อาจทำให้ระดับยาทั้งสองในเลือดสูงขึ้น – โพรเบนีซิด (probenecid) ทำให้ระดับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) สูงขึ้นและโอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น – ไตรแอมเทอรีน (triamterene) โอกาสการเกิดผลต่อไตเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเมื่อให้ร่วมกับอินโดเมทาซิน (indomethacin) – ไซโดวูดีน (zidovudine) โอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเมื่อให้ร่วมกับอินโดเมทาซิน (indomethacin)

ภาวะโรคร่วม

ปัญหาการใช้ยาอื่นๆ ในปัจจุบันอาจส่งผลต่อการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) โปรดแจ้งแพทย์หากท่านมีภาวะอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น – ติดแอลกอฮอล์ – ปัญหาเลือดออก – ลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis), โรคโครห์น (Crohn’s disease), ไดเวอร์ติคูลัมอักเสบ (diverticulitis) , แผลในกระเพาะอาหาร, ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้ – เบาหวาน – ริดสีดวงทวาร – ตับอักเสบหรือโรคตับอื่น ๆ – โรคไต – ระคายเคืองทวารหนักหรือมีเลือดออกจากทวารหนัก – กลุ่มอาการของโรคผิวหนังลักษณะผื่นลูปุสทั่วร่างกาย (systemic lupus eythematous-SLE) – สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่มาก่อน จะเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์ – โรคโลหิตจาง – โรคหอบหืด – โรคลมชัก – บวมน้ำ (เท้า ขา บวม) – โรคหัวใจ – ภาวะความดันโลหิตสูง – นิ่วในไตหรือเคยมีนิ่วในไต – จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ – จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ – มีปัญหาทางจิต – โรคพาร์คินสัน – โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หลายข้อ – กลุ่มอาการฟอร์ฟิเรีย – หลอดเลือดแดงที่สมองส่วน temporal อักเสบ (temporal arteritis) NSAIDs จะทำให้อาการของโรคนี้รุนแรงขึ้น – มีแผลหรือฝ้าขาวในปาก อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง โปรดแจ้งแพทย์หากท่านมีอาการเหล่านี้ก่อนการรับประทานยา

การใช้ที่ถูกต้อง

สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาในรูปแบบยาเม็ด ยาเม็ดที่มีลักษณะคล้ายแคปซูล แคปซูล หรือยาน้ำ รับประทานยาเม็ดหรือยาแคปซูลพร้อมน้ำประมาณ 240 มิลลิลิตร ห้ามนอนประมาณ 15 – 30 นาทีหลังรับประทานยา เพื่อป้องกันการระคายเคือง ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือยาลดกรดเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร

หากท่านต้องการรับประทานยานี้ร่วมกับยาลดกรด ควรเลือกยาลดกรดที่ประกอบด้วยแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์หรือใช้ยาลดกรดตามที่แพทย์สั่ง ไม่ควรผสมยาในรูปแบบยาน้ำเข้ากับยาลดกรด เนื่องจากทำให้ยาเสื่อมคุณภาพ หากท่านมีอาการไม่สบายท้อง (อาหารไม่ย่อย, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, ท้องเสีย) อย่างต่อเนื่องหรือสงสัยว่าควรรับประทานยาอย่างไร ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์

ยาบางประเภทต้องกลืนทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยวหรือหักแบ่ง ยาในรูปแบบแคปซูลห้ามแกะแคปซูลก่อนการรับประทานยา รวมถึงยาในรูปแบบที่ปลดปล่อยตัวยาที่ลำไส้เล็ก (enteric-coated), ยาเม็ดหรือยาแคปซูลค่อย ๆ ปล่อยตัวยาออกมาทำให้ออกฤทธิ์ได้นาน (extended-release) หากท่านไม่แน่ใจว่ายาที่ท่านกำลังรับประทานเป็นรูปแบบใดควรสอบถามจากเภสัชกร

ขนาดยา

ขนาดของยานี้อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ เภสัชกร หรือ ตามที่ระบุไว้บนฉลากยา

เมื่อลืมใช้ยา

หากแพทย์สั่งให้ท่านรับประทานยานี้แล้วท่านลืมรับประทานยาให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้มื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ (สำหรับยาที่ออกฤทธิ์นานหรือออกฤทธิ์เนิ่นที่รับประทานวันละ 1–2 ครั้ง หากมื้อที่ลืมอยู่ภายใน 1 – 2 ชั่วโมงของมื้อนั้นให้รับประทานยาทันที แต่ถ้าเกิน 1–2 ชั่วโมงแล้วให้ข้ามมื้อนั้นไปแล้วรับประทานยาตามปกติ) ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

การเก็บรักษา

- เก็บให้พ้นจากมือเด็ก – เก็บให้ห่างจากความร้อนและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงโดยตรง – ห้ามเก็บแคปซูลหรือยาเม็ดไว้ในห้องน้ำ ใกล้อ่างบ้างมือหรือที่ชื้น เความร้อนหรือความชื้นอาจเป็นสาเหตุให้ยาเสื่อมสภาพ – เก็บยาในรูปแบบของเหลวและยาเหน็บในตู้เย็น – ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ

ข้อควรระวัง

หากท่านจะใช้ยานี้เป็นเวลานานสำหรับบรรเทาอาการข้ออักเสบ ท่านควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อหาผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา การตรวจบางอย่างมีความจำเป็นมากเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง รวมถึงแผลในกระเพาะอาหาร , เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือปัญหาเกี่ยวกับเลือด ซึ่งอาจเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ทราบคำเตือนนี้มาก่อน การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในขณะที่ทำการรักษาด้วยการใช้ยานี้อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร และ หากท่านดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 3 แก้ว ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้ การรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) 2 ชนิดหรือมากกว่า 2 ชนิดร่วมกันอาจทำให้โอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น การใช้ยาพาราเซทามอล (paracetamol), แอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ซาลิซิเลต (salicylates) หรือคีโตโรแล็ค (ketorolac) ในขณะที่ใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์อาจมีโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขิ้น ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับจำนวนยาที่รับประทานในแต่ละวันและขึ้นกับระยะเวลาที่ประทานยาร่วมกัน หากบุคลากรทางการแพทย์ให้ท่านรับประทานยานี้ร่วมกันเป็นประจำ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด ห้ามรับประทานพาราเซทามอล (paracetamol) หรือแอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ของซาลิซิเลต (salicylates) ร่วมกับยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) มากกว่า 2-3 วัน และห้ามรับประทานร่วมกับกับคีโทโรแลก (ketorolac) ในขณะที่ท่านกำลังรับประทานยานี้ยกเว้นแพทย์สั่งและพบแพทย์ตามนัด ก่อนทำการผ่าตัดใดๆ (รวมทั้งการผ่าตัดทางทันตกรรม) โปรดแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ว่าท่านกำลังรับประทานยานี้อยู่ ถ้าเป็นไปได้ควรบอกตอนที่วางแผนผ่าตัด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) บางตัวมีโอกาสในการทำให้เกิดเลือดออกในระหว่างและหลังผ่าตัดเพิ่มขึ้น บางครั้งอาจจำเป็นต้องหยุดรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ชั่วคราวหรือเปลี่ยนไปใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ตัวอื่นที่ทำให้เกิดเลือดออกน้อยกว่า ยานี้อาจทำให้บางรายรู้สึกสับสน, หาวนอน , รู้สึกหวิวๆ , กระปรี้กระเปร่าน้อยกว่าปกติ บางครั้งยาอาจทำให้เกิดอาการตาพร่าหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นในบางราย ดังนั้นควรตรวจสอบตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีอาการเหล่านี้จากยา ก่อนที่จะขับรถยนต์หรือทำกิจกรรมที่อันตราย หากท่านมีอาการเหล่านี้และรู้สึกว่ารบกวนกิจวัตรประจำวันของท่าน ควรปรึกษาแพทย์ บางรายที่ใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจไวต่อแสงมากกว่าปกติ การสัมผัสแสงแดดเพียงไม่นานก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดผิวหนังไหม้เกรียมผิดปกติได้, เกิดถุงน้ำใต้ผิวหนัง, เกิดผื่น, แดง ,คัน ,หรือสีซีดจางลงได้ หรืออาจทำให้การมองเห็นผิดปกติไปเมื่อเริ่มใช้ยานี้ – ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00 – ควรสวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนังเพื่อป้องกันแสงแดด รวมทั้งใส่หมวกกันแดดหรือแว่นกันแดด ทาครีมกันแดดซึ่งมีค่า SPF อย่างน้อย 15 บางรายอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูงกว่านั้นโดยเฉพาะรายที่มีผิวบอบบาง หากท่านมีข้อสงสัยควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ – ห้ามใช้หลอดไฟแบบแสงอุลตร้าไวโอเลตส่องผิวหรือการทำให้สีผิวเข้มขึ้นด้วยวิธีการใช้แสง – หากท่านเกิดผลต่าง ๆ ที่เกิดจากแสงแดด ควรไปพบแพทย์

อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง รวมถึงการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร สามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างใช้ยานี้ บางครั้งอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นโดยที่ท่านไม่ได้รับการเตือนมาก่อน อาการแสดงที่เกิดขึ้นบ่อยที่สามารถเตือนว่าท่านอาจได้รับอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงได้แก่ การปวดท้องหรือปวดเกร็งท้องมาก ๆ , เจ็บท้องหรือปวดแสบปวดร้อนในท้อง , อุจจาระสีดำเหมือนน้ำมันดิน (ทาร์), คลื่นไส้รุนแรงหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน, แสบยอดอก, อาหารไม่ย่อย, หรืออาเจียนมีเลือดปนหรือมีสีคล้ายกาแฟ ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันทีหากท่านมีอาการดังกล่าว

ควรพบแพทย์ทันทีหากท่านมีอาการหนาวสั่น, มีไข้, ปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อหรือมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเกิดเป็นระยะเวลาสั้น ๆ ก่อนหรือเกิดพร้อมกับมีผื่นที่ผิวหนังซึ่งพบได้น้อยมาก หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นอาการเตือนที่บ่งบอกถึงปฏิกิริยารุนแรงที่เกิดจากยา ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) อาจทำให้เกิดการแพ้ทางภูมิคุ้มกันที่รุนแรงได้ที่เรียกว่า แอนาฟิแล็กซิส (anaphylaxis) ถึงแม้ว่าพบได้น้อยมากแต่ก็อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ยาแอสไพริน (aspirin) หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) แอนาฟิแล็กซิส (anaphylaxis) ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาการเตือนที่รุนแรงที่สุดของปฏิกิริยานี้คือหายใจลำบากและผิดปกติ อ้าปากหายใจหอบ หายใจเข้ามีเสียงหวีด หรือเป็นลม อาจมีอาการเตือนอื่น ๆ เช่น ใบหน้าแดง หัวใจหรือชีพจรเต้นเร็วและผิดปกติ ผิวหนังบวมมีลักษณะคล้ายรังผึ้งและหนังตาหรือรอบ ๆ ตาบวมหรือพอง ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ต้องรีบได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน รีบขอความช่วยเหลือให้นำส่งห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ถ้าทำตามนี้ไม่ได้ห้ามพยายามขับรถด้วยตนเอง แต่ให้รีบเรียกรถพยาบาล นอนลง รักษาตัวเองให้อุ่นและประคองให้เท้าสูงกว่าศีรษะ อยู่ในท่านั้นจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ

อาการไม่พึงประสงค์

ยาอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับผู้ใช้ยาทุกราย แต่หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ควรหยุดยาและได้รับการช่วยเหลือจากแผนกฉุกเฉินในทันทีหากมีอาการเหล่านี้ พบน้อยมาก : สำหรับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ทุกตัว เป็นลม, หายใจเร็วหรือผิดปกติ, หัวใจหรือชีพจรเต้นเร็วหรือผิดปกติ, บวมคล้ายรังผึ้งบริเวณใบหน้า(ขนาดใหญ่), เปลือกตา รอบตา ปาก ลิ้นบวม, หายใจสั้น, หายใจลำบาก, หายใจมีเสียงวี๊ด, แน่นหน้าอก
ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้ มีอาการบวมที่หน้า มือ เท้า ต้นขาส่วนล่าง (เกิดได้อย่างรวดเร็ว), น้ำหนักเพิ่ม เล็บ ริมฝีปากหรือผิวหนังมีสีน้ำเงิน, ปวดหัวรุนแรงหรือต่อเนื่อง พบได้น้อย : สำหรับยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ทุกตัว ปวดท้อง, ปวดเกร็งท้อง, ปวดแสบปวดร้อนในท้อง (อย่างรุนแรง), อุจจาระมีมีเลือดปนหรือมีสีดำคล้ายน้ำมันดิน (ทาร์), ชัก, มีไข้และมีหรือไม่มีอาการหนาวสั่น, คลื่นไส้, แสบยอดอกและหรือมีอาการอาหารไม่ย่อย (รุนแรงและต่อเนื่อง), มีจุดแดงคล้ายหัวเข็มหมุดที่ผิวหนัง, เจ็บ ปวดหรือมีจุดสีขาวที่ริมฝีปากหรือในปาก, ความดันเลือดสูงขึ้น, เลือดไหลออกจากจมูกโดยไม่ทราบสาเหตุ, มีเลือดออกหรือเกิดจ้ำเลือดที่ผิดปกติ, อาเจียนมีเลือดปนหรือมีสีคล้ายกาแฟ

ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น พบได้บ่อย : เลือดออกจากทวารหนัก (เมื่อใช้ยาในรูปแบบยาเหน็บทวาร), มีผื่นที่ผิวหนัง พบได้น้อย : ปวดกระเพาะปัสสาวะ, เลือดไหลจากการถูกมีดบาดหรือรอยถลอกที่นานเกินผิดปกติ, มีเลือดไหลหรือเจ็บฝีปาก, ปัสสาวะมีเลือดปนหรือขุ่นหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปวดแสบ หรือปวดเวลาปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะมากขึ้นหรือน้อยลงมากผิดปกติ กลั้นปัสสาวะไม่ได้ , ตาพร่าหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น, รู้สึกเหมือนร้อนไหม้ภายในลำคอ หน้าอกและกระเพาะอาหาร, สับสน, หลงลืม, ซึมเศร้าหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงไป, ไอ, การได้ยินลดลงหรือมีความผิดปกติในการได้ยินอื่น ๆ ได้ยินเสียงกริ่งหรือเสียงหึ่งๆในหู, กลืนลำบาก, ตามีอาการปวด ระคายเคือง แห้ง แดงและบวม, ประสาทหลอน (มองเห็น ได้ยินหรือรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่มีจริงตรงนั้น), ปวดศีรษะ (รุนแรง), ปวดหัวตุบ ๆ, คอหรือหลังแข็ง, ผิวหนังมีอาการคันหรือบวมคล้ายรังผึ้ง รวมทั้งความผิดปกติต่างๆเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น มีถุงน้ำ แดง สีเปลี่ยนแปลงไป ตึง ปวดแสบปวดร้อน ซีด หนาตัวหรือมีรอยแผลเป็น, ความดันโลหิตสูง, ระคายเคืองลิ้น, อุจจาระสีซีดลง, เล็บสีซีดลงหรือเล็บแยก, ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง, มือและเท้าไม่มีความรู้สึก รู้สึกเหมือนเข็มจิ้ม ปวดหรืออ่อนแรง, ปวดหลังด้านล่างและหรือด้านข้าง (รุนแรง), ลิ้นและปากบวม, ต่อมบวมและเจ็บโดยเฉพาะต่อมที่คอ, กระหายน้ำอย่างต่อเนื่อง, พูดลำบาก, น้ำมูกไหลหรือจามโดยไม่มีสาเหตุ, เลือดไหลจากช่องคลอดมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ, อ่อนเพลีย เมื่อยล้ามากผิดปกติ, ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันที) , ตัวเหลืองตาเหลือง

อาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่จะหายไปในระหว่างการรักษาซึ่งร่างกายจะปรับตัวเข้ากับยา ควรปรึกษาแพทย์ถ้าอาการไม่พึงประสงค์เหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหรือรบกวนท่าน พบได้บ่อย : ปวด เกร็งหรือไม่สบายท้องหรือกระเพาะอาหาร(เล็กน้อยถึงปานกลาง), วิงเวียนศีรษะ, ง่วงซึม, รู้สึกหวิวๆ, ปวดศีรษะ (เล็กน้อยถึงปานกลาง), แสบยอดอก, อาหารไม่ย่อย, คลื่นไส้หรืออาเจียน พบได้น้อย : การรับรสเปลี่ยนไปหรือรู้สึกขมปาก, มีลม แก๊สในกระเพาะอาหาร, ท้องผูก, ไม่อยากอาหาร, หัวใจเต้นเร็วหรือแรง, หน้าแดง, รู้สึกเหมือนไม่สบาย, ตาทนแสงไม่ได้, ผิวหนังไวต่อแสง, เหงื่อออกมากขึ้น, ปากแห้ง ระคายเคืองหรือเจ็บ, กระวนกระวาย, ควบคุมตัวเองไม่ได้, สั่น, กระตุก, ระคายเคืองทวารหนัก(โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาในรูปแบบยาเหน็บทวารหนัก), มีปัญหาในการนอนหลับ, น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ, เหนื่อยล้า อ่อนแรงผิดปกติโดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย

แม้ว่าอาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด แต่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตอรอยด์ (NSAIDs) แต่ละตัวมีความคล้ายคลึงกันมาก จึงอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ดังกล่าวได้คล้ายกัน

กลุ่มยา

ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้

Aspirin, Celecoxib, Diclofenac, Diflunisal, Flurbiprofen, Ibuprofen, Indomethacin, Ketoprofen, Mefenamic acid, Meloxicam, Nabumetone, Naproxen, Phenylbutazone, Piroxicam, Sodium salicylate, Sulindac, Tenoxicam

ชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้

ยานี้มีชื่อภาษาไทยอื่นที่มีการใช้ดังต่อไปนี้

นิมิซูไลด์

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้ ซึ่งไม่ได้แสดงในนี้

แหล่งอ้างอิง

Micromedex Thomson Healthcare. Advice for the Patient Drug Information in Lay Language USP DI,
volume ll. 25th ed. Massachusetts: Micromedex Thomson Healthcare, 2005: 185-96.


นรวร เจนณรงค์
โพยม วงศ์ภูวรักษ์
23 สิงหาคม 2552 15 ตุลาคม 2553
เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย