อ่าน: 608
Small_font Large_font

Diflunisal (ไดฟลูนิซัล )

คำอธิบายพอสังเขป

ไดฟลูนิซัล (diflunisal) เป็นยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์หรือเรียกว่า NSAIDs (เอ็น-เสด) ใช้ในการบรรเทาอาการบางอาการที่มีสาเหตุมาจากข้ออักเสบ (ข้ออักเสบรูมาตอยด์) การอักเสบ บวม ตึง และเจ็บข้อ อย่างไรก็ตามยานี้ไม่ได้ใช้รักษาข้ออักเสบเพียงแค่ช่วยบรรเทาอาการของท่านให้ดีขึ้นเท่านั้น

ยานี้ใช้ในการบรรเทาอาการปวดของสภาวะต่าง ๆ เช่น

  • เกาต์กำเริบ
  • ถุงของไหลข้นอักเสบ (bursitis)
  • เอ็นกล้ามเนื้ออักเสบ (tendinitis)
  • อาการตึง เคล็ดขัดยอก
  • ปวดประจำเดือน (menstrual cramps)
  • ไดฟลูนิซัล (diflunisal) ใช้ในการรักษาสภาวะต่างๆ ตามแพทย์สั่ง
  • ไดฟลูนิซัล (diflunisal) เหล่านี้ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานหรือใช้ในปริมาณมาก

อาการไม่พึงประสงค์บางอย่างทำให้เกิดความเจ็บปวดหรือไม่สบายตัวหรืออาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจนต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลและอาจทำให้เสียชีวิตได้ หากท่านจะใช้ยานี้นานกว่า 1-2 เดือน หรือใช้ในปริมาณมากๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อจะได้ทราบถึงการปฏิบัติตัวที่สามารถช่วยลดความเสี่ยงนั้นได้

ก่อนการใช้ยา

การแพ้ยา

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆ หรือมีประวัติการแพ้ยาไดฟลูนิซัล (diflunisal) หรือ กลุ่มยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ตัวอื่น หรือ ส่วนประกอบใด ๆ ในยานี้ หรือ ยาต่อไปนี้ รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่นๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น

  • แอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ของซาลิซิเลต (salicylates)
  • คีโทโรแลก (ketorolac)
  • ออกซี่เฟนบิวทาโซน (oxyphenbutazone)
  • ซูโพรเฟน(suprofen)
  • โซมิพีแรค (zomepirac)

อาหารและเครื่องดื่มที่ต้องระวัง

โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังได้รับคำแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีโซเดียมต่ำ (low-salt) หรือน้ำตาลต่ำ เนื่องจากยาบางประเภทอาจมีส่วนประกอบของโซเดียมและน้ำตาล

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 1

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'C' สำหรับสตรีมีครรภ์

จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาที่ควบคุมอย่างดีในมนุษย์ หรือ ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์และสัตว์ถึงผลของยาต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ดังนั้น ควรใช้ยานี้เมื่อมีการประเมินแล้วว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 2

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'C' สำหรับสตรีมีครรภ์

จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาที่ควบคุมอย่างดีในมนุษย์ หรือ ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์และสัตว์ถึงผลของยาต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ดังนั้น ควรใช้ยานี้เมื่อมีการประเมินแล้วว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์

ตั้งครรภ์ไตรมาสที่ 3

ABCDX

รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'D' สำหรับสตรีมีครรภ์

ยามีความเสี่ยงในการก่อให้เกิดความผิดปกติต่อทารกในครรภ์ อย่างไรก็ตาม อาจใช้ยานี้ได้ หากพิจารณาแล้วว่าประโยชน์จากการใช้ยามีมากกว่าความเสี่ยงต่อทารกในครรภ์ ดังนั้นการพิจารณาใช้ยาให้อยู่ในดุลยพินิจของแพทย์

ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ เว้นแต่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องใช้โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอดเพราะยังไม่มีการศึกษาการใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ในสตรีมีครรภ์ อย่างไรก็ตามอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์เกี่ยวกับหัวใจหรือความดันโลหิตของตัวอ่อนในครรภ์หรือทารกแรกคลอดได้หากรับประทานยาเหล่านี้เป็นประจำใน 2-3 เดือนสุดท้ายของการมีครรภ์

การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า หากรับประทานยาเหล่านี้ใน 2-3 เดือนสุดท้ายของการมีครรภ์ อาจทำให้การมีครรภ์นานขึ้น, ระยะเวลาของการคลอดนานขึ้นทำให้เกิดปัญหาในการคลอด

การศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่าไดฟลูนิซัล (diflunisal) ทำให้การสร้างกระดูกสันหลังและกระดูกซี่โครงผิดปกติในกระต่ายแต่ไม่มีผลในหนู

แม้ว่ายาส่วนใหญ่ไม่มีผลต่อตัวอ่อนในครรภ์ของสัตว์ทดลอง แต่ยาเหล่านี้อาจเป็นอันตรายต่อตัวอ่อนในครรภ์ เมื่อให้ยาเหล่านี้ปริมาณมากจะทำให้สัตว์ทดลองที่มีครรภ์เกิดอาการป่วย

กำลังให้นมบุตร

ไดฟลูนิซัล (diflunisal) สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมได้

เด็ก

ยังไม่มีข้อมูลเฉพาะเกี่ยวกับการใช้ไดฟลูนิซัล (diflunisal) ในเด็ก

ผู้สูงอายุ

อาการไม่พึงประสงค์บางอย่างเช่น สับสน , หน้าบวม แขนหรือขาบวม , ปริมาณปัสสาวะลดลง อาจเกิดขึ้นได้ในผู้สูงอายุซึ่งไวต่อฤทธิ์ของยามากกว่าในวัยอื่นๆ ดังนั้นหากยาส่งผลต่อกระเพาะอาหาร ผู้สูงอายุอาจรู้สึกไม่สบายตัวได้มากกว่าวัยอื่นๆ

ยาอื่นที่ใช้อยู่

ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานไดฟลูนิซัล (diflunisal) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้อยู่

  • ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants)
  • เซฟาแมนโดล (cefamandole)
  • เซโฟเพอราโซน (cefoperazone)
  • เซโฟทีแทน (cefotetan)
  • เฮพาริน (heparin)
  • พลิคามัยซัน (plicamycin)
  • กรดวาลโพรอิก (valproic acid) โอกาสการเกิดเลือดออกเพิ่มขึ้น
  • แอสไพริน (aspirin) โอกาสในเกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงจะเพิ่มขึ้นหากใช้แอสไพรินร่วมกับไดฟลูนิซัล (diflunisal)
  • ซิโพรฟลอกซาซิน (ciprofloxacin)
  • อีน็อกซาซิน (enoxacin)
  • อิทราโคนาโซล (itraconazole)
  • คีโทโคนาโซล (ketoconazole)
  • โลมีฟลอกซาซิน (lomefloxacin)
  • นอร์ฟลอกซาซิน (norfloxacin)
  • โอฟลอกซาซิน (ofloxacin)
  • ไซโคลสพอริน (cyclosporine)
  • ดิจิทัลลิส ไกลโคไซดิ์ (digitalis glycosides)
  • ลิเทียม (lithium)
  • เมโทเทรกเซต (methotrexate)
  • ฟีนีตอยน์ (phenytoin) อาจทำให้ระดับยาทั้งสองตัวในเลือดสูงขึ้น
  • โพรเบนีซิด (probenecid) ทำให้ระดับไดฟลูนิซัล (diflunisal) สูงขึ้นและโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จะเพิ่มขึ้น

ภาวะโรคร่วม

ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ไดฟลูนิซัล (diflunisal) ท่านควรแจ้งแพทย์หากท่านมีสภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น

  • ติดแอลกอฮอล์
  • ปัญหาเลือดออก
  • ลำไส้ใหญ่อักเสบ (colitis), โรคโครห์น (Crohn’s disease), ไดเวอร์ติคูลัมอักเสบ (diverticulitis) , แผลในกระเพาะอาหาร, ปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารหรือลำไส้
  • เบาหวาน
  • ริดสีดวงทวาร
  • ตับอักเสบหรือโรคตับอื่นๆ
  • โรคไต
  • ระคายเคืองทวารหนักหรือมีเลือดออกจากทวารหนัก
  • กลุ่มอาการของโรคผิวหนังลักษณะผื่นลูปุสทั่วร่างกาย (systemic lupus eythematous-SLE)
  • สูบบุหรี่หรือเคยสูบบุหรี่มาก่อน จะเพิ่มโอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์
  • โรคโลหิตจาง
  • โรคหอบหืด
  • โรคลมชัก
  • ของเหลวคั่ง (เท้า ขา บวม)
  • โรคหัวใจ
  • ภาวะความดันโลหิตสูง
  • นิ่วในไตหรือเคยมีนิ่วในไต
  • จำนวนเกล็ดเลือดต่ำ
  • จำนวนเม็ดเลือดขาวต่ำ
  • มีปัญหาทางจิต
  • โรคพาร์คินสัน
  • โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์หลายข้อ
  • กลุ่มอาการฟอร์ฟิเรีย
  • หลอดเลือดแดงที่สมองส่วน temporal อักเสบ (temporal arteritis) ไดฟลูนิซัล (diflunisal) จะทำให้อาการของโรคนี้รุนแรงขึ้น
  • มีแผลหรือฝ้าขาวในปาก อาการเหล่านี้อาจบ่งบอกถึงอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาที่รุนแรง โปรดแจ้งแพทย์หากท่านมีอาการเหล่านี้

การใช้ที่ถูกต้อง

รับประทานยาพร้อมน้ำประมาณ 240 มิลลิลิตร ห้ามนอนประมาณ 15–30 นาทีหลังรับประทานยา เพื่อป้องกันการระคายเคืองทางเดินอาหาร

ควรรับประทานยาพร้อมอาหารหรือยาลดกรดเพื่อลดการระคายเคืองกระเพาะอาหาร หากท่านรับประทานยารูปแบบปลดปล่อยตัวยาในลำไส้เล็ก (enteric-coated) ท่านไม่จำเป็นต้องรับประทานยาร่วมกับอาหารหรือยาลดกรด เนื่องจากยารูปแบบปลดปล่อยตัวยาในลำไส้เล็ก (enteric-coated) จะช่วยป้องกันการระคายเคืองกระเพาะอาหารจากตัวยาอยู่

หากท่านต้องการรับประทานยานี้ร่วมกับยาลดกรด ควรเลือกยาลดกรดที่ประกอบด้วยแมกนีเซียมและอะลูมิเนียมไฮดรอกไซด์หรือใช้ยาลดกรดตามที่แพทย์สั่ง หากท่านมีอาการไม่สบายท้อง (อาหารไม่ย่อย, คลื่นไส้, อาเจียน, ปวดท้อง, ท้องร่วง) อย่างต่อเนื่องหรือสงสัยว่าควรรับประทานยาอย่างไร ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์

ยาบางประเภทต้องกลืนทั้งเม็ด ห้ามบด เคี้ยวหรือหักแบ่ง ยาในรูปแบบแคปซูลห้ามแกะแคปซูลก่อนการรับประทานยา รวมถึงยาในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ที่ลำไส้เล็ก (enteric-coated), ยาเม็ดหรือยาแคปซูลที่ออกฤทธิ์เนิ่น (extended-release), ยาเม็ดไดฟลูนิซัล (diflunisal) หากท่านไม่แน่ใจว่ายาที่ท่านกำลังรับประทานเป็นรูปแบบใดควรสอบถามจากเภสัชกร

ขนาดยา

ขนาดของยานี้อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ เภสัชกร หรือ ตามที่ระบุไว้บนฉลากยา

จำนวนของแคปซูลหรือยาเม็ดหรือจำนวนช้อนชาของยาน้ำแขวนตะกอนที่รับประทานหรือจำนวนยาเหน็บขึ้นกับความแรงของยา จำนวนครั้งของการใช้ยาในแต่ละวัน, ระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งและระยะเวลาที่ท่านใช้ยาขึ้นอยู่ว่าท่านกำลังรับประทานยานี้ในรูปแบบออกฤทธิ์นานหรือรูปแบบออกฤทธิ์สั้นและกับสภาวะของท่านที่ท่านต้องใช้ยานี้

ผู้ป่วยโรคข้ออักเสบจำเป็นต้องใช้ยาทั้งขณะมีอาการและไม่มีอาการของข้ออักเสบ ดังนั้นขนาดยาอาจต้องเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับอาการของท่าน

เมื่อลืมใช้ยา

หากแพทย์สั่งให้ท่านรับประทานยานี้แล้วท่านลืมรับประทานยา ให้รับประทานยาทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้มื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ (สำหรับยาที่ออกฤทธิ์นานหรือออกฤทธิ์เนิ่นที่รับประทานวันละ 1–2 ครั้ง หากมื้อที่ลืมอยู่ภายใน 1–2 ชั่วโมงของมื้อนั้นให้รับประทานยาทันที แต่ถ้าเกิน 1–2 ชั่วโมงแล้วให้ข้ามมื้อนั้นไปแล้วรับประทานยาตามปกติ) ห้ามเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า

การเก็บรักษา

  • เก็บให้พ้นมือเด็ก
  • เก็บให้ห่างจากความร้อนและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
  • ห้ามเก็บยาไว้ในห้องน้ำ ใกล้อ่างล้างมือหรือที่ชื้น เนื่องจากความร้อนหรือความชื้นอาจเป็นสาเหตุให้ยาเสื่อมคุณภาพ
  • ห้ามเก็บยารูปแบบยาน้ำแขวนตะกอนในตู้เย็น
  • ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ

ข้อควรระวัง

หากท่านจะใช้ยานี้เป็นเวลานานสำหรับบรรเทาอาการข้ออักเสบ ท่านควรพบแพทย์ตามนัดเพื่อติดตามผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา การตรวจบางอย่างมีความจำเป็นมากเนื่องจากอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง รวมถึงแผลในกระเพาะอาหาร , เลือดออกในกระเพาะอาหารหรือปัญหาเกี่ยวกับเลือด ซึ่งอาจเกิดในผู้ป่วยที่ไม่ทราบคำเตือนนี้มาก่อน

การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ในขณะที่ทำการรักษาด้วยการใช้ยานี้อาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น

หากท่านดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 3 แก้ว ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้

การรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) 2 ชนิดหรือมากกว่า 2 ชนิดร่วมกันอาจทำให้โอกาสการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขึ้น การใช้ยาพาราเซทามอล (paracetamol), แอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ซาลิซิเลต (salicylates) หรือคีโตโรแล็ค (ketorolac) ในขณะที่ใช้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์อาจทำให้โอกาสในการเกิดอาการไม่พึงประสงค์เพิ่มขิ้น ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับจำนวนยาที่รับประทานในแต่ละวันและขึ้นกับระยะเวลาที่ประทานยาร่วมกัน หากแพทย์ให้ท่านรับประทานยานี้ร่วมกันเป็นประจำ ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

ห้ามรับประทานพาราเซทามอล (paracetamol) หรือแอสไพริน (aspirin) หรืออนุพันธ์ของซาลิซิเลต (salicylates) ร่วมกับไดฟลูนิซัล (diflunisal) มากกว่า 2-3 วัน และห้ามรับประทานร่วมกับคีโทโรแลก (ketorolac) ในขณะที่ท่านกำลังรับประทานยานี้ยกเว้นแพทย์สั่งและพบแพทย์ตามนัด

ก่อนทำการผ่าตัดใดๆ (รวมทั้งการผ่าตัดทางทันตกรรม) โปรดแจ้งแพทย์หรือทันตแพทย์ว่าท่านกำลังรับประทานยานี้อยู่ ถ้าเป็นไปได้ควรบอกตอนที่กำลังวางแผนผ่าตัด ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) บางตัวทำให้โอกาสในการเกิดเลือดออกในระหว่างและหลังผ่าตัดเพิ่มขึ้น บางครั้งอาจจำเป็นต้องหยุดรับประทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ชั่วคราวหรือเปลี่ยนไปใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) ตัวอื่นที่ทำให้เกิดเลือดออกน้อยกว่า

ยานี้อาจทำให้ผู้ป่วยบางรายรู้สึกสับสน, หาวนอน , รู้สึกหวิวๆ , กระปี้กระเป่าน้อยกว่าปกติ บางครั้งยาอาจทำให้เกิดอาการตาพร่าหรือปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็นในผู้ป่วยบางราย ดังนั้นควรตรวจสอบตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าไม่มีอาการเหล่านี้จากยา ก่อนที่จะขับรถยนต์หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย หากท่านมีอาการเหล่านี้และรู้สึกว่ารบกวนกิจวัตรประจำวันของท่าน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

ผู้ป่วยบางรายที่ใช้ไดฟลูนิซัล (diflunisal) อาจไวต่อแสงมากกว่าปกติ การสัมผัสแสงแดดเพียงไม่นานก็อาจเป็นสาเหตุให้เกิดผิวหนังไหม้เกรียมผิดปกติได้, เกิดถุงน้ำใต้ผิวหนัง, เกิดผื่น, แดง ,คัน ,หรือสีซีดจางลงได้ หรืออาจทำให้การมองเห็นผิดปกติไปเมื่อเริ่มใช้ยานี้

  • ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรงโดยเฉพาะช่วงเวลา 10.00-15.00
  • ควรสวมเสื้อผ้าปกปิดผิวหนังเพื่อป้องกันแสงแดด รวมทั้งใส่หมวกกันแดดหรือแว่นกันแดด ทาครีมกันแดดซึ่งมีค่า SPF อย่างน้อย 15 บางรายอาจต้องใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีค่า SPF สูงกว่านั้นโดยเฉพาะรายที่มีผิวบอบบาง หากท่านมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
  • ห้ามใช้หลอดไฟแบบแสงอุลตร้าไวโอเลตหรือการทำให้สีผิวเข้มขึ้น
  • หากท่านเกิดผลต่างๆ ที่เกิดจากแสงแดด ควรไปพบแพทย์

อาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรง รวมถึงการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือมีเลือดออกในกระเพาะอาหาร สามารถเกิดขึ้นได้ในระหว่างใช้ยานี้ บางครั้งอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงอาจเกิดขึ้นโดยที่ท่านไม่ได้รับการเตือนมาก่อน อาการแสดงที่เกิดขึ้นบ่อยที่สามารถเตือนว่าท่านอาจได้รับอาการไม่พึงประสงค์ที่รุนแรงได้แก่ การปวดท้องหรือปวดเกร็งท้องมากๆ , เจ็บท้องหรือปวดแสบปวดร้อนในท้อง , อุจจาระสีดำเหมือนน้ำมันดิน (ทาร์), คลื่นไส้รุนแรงหรือติดต่อกันเป็นเวลานาน, แสบยอดอก, อาหารไม่ย่อย, หรืออาเจียนมีเลือดปนหรือมีสีคล้ายกาแฟ ควรหยุดยาและไปพบแพทย์ทันที หากท่านมีอาการดังกล่าว

ควรพบแพทย์ทันที หากท่านมีอาการหนาวสั่น, มีไข้, ปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อหรือมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะถ้าเกิดเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนหรือเกิดพร้อมกับมีผื่นที่ผิวหนังซึ่งพบได้น้อยมาก หากมีอาการเหล่านี้ อาจเป็นอาการเตือนที่บ่งบอกถึงปฏิกิริยารุนแรงที่เกิดจากยา

ไดฟลูนิซัล (diflunisal) อาจทำให้เกิดการแพ้ทางภูมิคุ้มกันที่รุนแรงได้ที่เรียกว่า แอนาฟิแล็กซิส (anaphylaxis) ถึงแม้ว่าพบได้น้อยมากแต่ก็อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้ยาแอสไพริน (aspirin) หรือยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs)

แอนาฟิแล็กซิส (anaphylaxis) ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาการเตือนที่รุนแรงที่สุดของปฏิกิริยานี้คือหายใจเร็วมากและผิดปกติ อ้าปากหายใจหอบ หายใจเข้ามีเสียงหวีด หรือเป็นลม อาการเตือนอื่นๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสีผิวของใบหน้า หัวใจหรือชีพจรเต้นเร็วและผิดปกติ ผิวหนังบวมมีลักษณะคล้ายรังผึ้งและหนังตาหรือรอบๆ ตาบวมหรือพอง ถ้ามีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น ต้องรีบได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน รีบขอความช่วยเหลือให้นำส่งห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ถ้าทำตามนี้ไม่ได้ห้ามพยายามขับรถด้วยตนเอง แต่ให้รีบเรียกรถพยาบาล นอนลง รักษาตัวเองให้อุ่นและประคองให้เท้าสูงกว่าศีรษะ อยู่ในท่านั้นจนกว่าจะได้รับการช่วยเหลือ

อาการไม่พึงประสงค์

ยาอาจทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์บางอย่างที่ไม่ต้องการ ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่ได้เกิดกับผู้ใช้ยาทุกราย แต่หากเกิดอาการไม่พึงประสงค์ขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม

ก. ควรหยุดยาและได้รับการช่วยเหลือจากแผนกฉุกเฉินในทันทีหากมีอาการเหล่านี้

พบน้อยมาก

  • เป็นลม, หายใจเร็วหรือผิดปกติ, หัวใจหรือชีพจรเต้นเร็วหรือผิดปกติ, บวมคล้ายรังผึ้งบริเวณใบหน้า (ขนาดใหญ่), เปลือกตา รอบตา ปาก ลิ้นบวม, หายใจสั้น, หายใจลำบาก, หายใจมีเสียงวี๊ด, แน่นหน้าอก

ข. ควรหยุดยาและพบแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้

พบน้อย

  • ปวดท้อง, ปวดเกร็งท้อง, ปวดแสบปวดร้อนในท้อง (อย่างรุนแรง), อุจจาระมีมีเลือดปนหรือมีสีดำคล้ายน้ำมันดิน (ทาร์), คลื่นไส้, แสบยอดอกและหรือมีอาการอาหารไม่ย่อย (รุนแรงและต่อเนื่อง)
  • ชัก, มีไข้และมีหรือไม่มีอาการหนาวสั่น
  • มีจุดแดงคล้ายหัวเข็มหมุดที่ผิวหนัง, เจ็บ ปวดหรือมีจุดสีขาวที่ริมฝีปากหรือในปาก
  • ความดันเลือดสูงขึ้น, เลือดไหลออกจากจมูกโดยไม่ทราบสาเหตุ, มีเลือดออกหรือเกิดจ้ำเลือดที่ผิดปกติ, อาเจียนมีเลือดปนหรือมีสีคล้ายกาแฟ

ค. ควรปรึกษาแพทย์ทันทีหากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้น

พบบ่อย

  • มีผื่นที่ผิวหนัง

พบน้อย

  • ปวดกระเพาะปัสสาวะ, ปัสสาวะมีเลือดปนหรือขุ่นหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะลำบาก ปวดแสบ หรือปวดเวลาปัสสาวะ ปริมาณปัสสาวะมากขึ้นหรือน้อยลงมากผิดปกติ กลั้นปัสสาวะไม่ได้
  • เลือดไหลจากการถูกมีดบาดหรือรอยถลอกที่นานเกินผิดปกติ, มีเลือดไหลหรือเจ็บฝีปาก
  • ตาพร่าหรือมีปัญหาเกี่ยวกับการมองเห็น, ปวดตา ระคายเคือง แห้ง แดงและบวม
  • รู้สึกเหมือนร้อนไหม้ภายในลำคอ หน้าอกและกระเพาะอาหาร, กลืนลำบาก, ไอ
  • สับสน, หลงลืม, ซึมเศร้าหรืออารมณ์เปลี่ยนแปลงไป, ประสาทหลอน (มองเห็น ได้ยินหรือรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่มีจริงตรงนั้น), ปวดศีรษะ (รุนแรง), ปวดหัวตุบๆ, คอหรือหลังแข็ง
  • การได้ยินลดลงหรือมีความผิดปกติในการได้ยินอื่นๆ ได้ยินเสียงกริ่งหรือเสียงหึ่งๆในหู
  • ผิวหนังมีอาการคันหรือบวมคล้ายรังผึ้ง รวมทั้งความผิดปกติต่างๆเกี่ยวกับผิวหนัง เช่น มีถุงน้ำ แดง สีเปลี่ยนแปลงไป ตึง ปวดแสบปวดร้อน ซีด หนาตัวหรือมีรอยแผลเป็น
  • ความดันโลหิตสูง, ระคายเคืองลิ้น, อุจจาระสีซีดลง
  • เล็บสีซีดลงหรือเล็บแยก, ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ กล้ามเนื้ออ่อนแรง, มือและเท้าไม่มีความรู้สึก รู้สึกเหมือนเข็มจิ้ม ปวดหรืออ่อนแรง, ปวดหลังด้านล่างและหรือด้านข้าง (รุนแรง), ท้องส่วนบน กระเพาะอาหาร ตึงและหรือบวม, ลิ้นและปากบวม, ต่อมบวมและเจ็บโดยเฉพาะต่อมที่คอ, กระหายน้ำอย่างต่อเนื่อง, พูดลำบาก, น้ำมูกไหลหรือจามโดยไม่มีสาเหตุ
  • เลือดไหลจากช่องคลอดมากผิดปกติโดยไม่มีสาเหตุ
  • อ่อนเพลีย เมื่อยล้ามากผิดปกติ, ตัวเหลืองตาเหลือง

ง. ผลข้างเคียงอื่นๆ อาจเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับการรักษา แต่จะหายไปในระหว่างการรักษาซึ่งร่างกายจะปรับตัวเข้ากับยา ควรปรึกษาแพทย์ถ้าผลข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหรือรบกวนท่าน

พบบ่อย

  • ปวด เกร็งหรือไม่สบายท้องหรือกระเพาะอาหาร (เล็กน้อยถึงปานกลาง), วิงเวียนศีรษะ, ง่วงซึม, รู้สึกหวิวๆ, ปวดศีรษะ (เล็กน้อยถึงปานกลาง), แสบยอดอก, อาหารไม่ย่อย, คลื่นไส้หรืออาเจียน

พบน้อย

  • การรับรสเปลี่ยนไปหรือรู้สึกขมปาก, มีลม แก๊สในกระเพาะอาหาร, ท้องผูก, ไม่อยากอาหาร
  • หัวใจเต้นเร็วหรือแรง, หน้าแดง, รู้สึกเหมือนไม่สบาย, ตาทนแสงไม่ได้, ผิวหนังไวต่อแสง, เหงื่อออกมากขึ้น, ปากแห้ง ระคายเคืองหรือเจ็บ
  • กระวนกระวาย, ควบคุมตัวเองไม่ได้, สั่น, กระตุก, ระคายเคืองทวารหนัก (โดยเฉพาะเมื่อใช้ยาในรูปแบบยาเหน็บทวารหนัก), มีปัญหาในการนอนหลับ
  • น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ, เหนื่อยล้า อ่อนแรงผิดปกติโดยไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย

แม้ว่าอาการต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้นอาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด แต่จะเกิดขึ้นอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) แต่ละตัวมีความคล้ายคลึงกันมาก จึงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงดังกล่าวได้คล้ายกัน

จ. อาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการไม่พึงประสงค์อื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

กลุ่มยา

ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้

Aspirin, Celecoxib, Diclofenac, Flurbiprofen, Ibuprofen, Indomethacin, Ketoprofen, Mefenamic acid, Meloxicam, Nabumetone, Naproxen, Nimesulide, Phenylbutazone, Piroxicam, Sodium salicylate, Sulindac, Tenoxicam

ชื่อทางการค้า

ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้

Dolobid

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว

ชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้

ยานี้มีชื่อภาษาไทยอื่นที่มีการใช้ดังต่อไปนี้

ไดฟลูนิซาล

ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อภาษาไทยอื่นที่อาจมีการใช้ ซึ่งไม่ได้แสดงในนี้

แหล่งอ้างอิง

  1. Micromedex Thomson Healthcare. Advice for the Patient Drug Information in Lay Language USP DI, volume ll. 25th ed. Massachusetts: Micromedex Thomson Healthcare, 2005: 185-96.
  2. Klasco RK (Ed): DRUGDEX® System (electronic version). Thomson Micromedex, Greenwood Village, Colorado, USA. Available at: http://www.thomsonhc.com (cited: Oct 6, 2009).
  3. Joint Formulary Committee. British National Formulary. 57th ed. London: British Medical Association and Royal Pharmaceutical Society of Great Britain, 2009: 552, 560, 573.
  4. Sunthornraj N, Fun LF, Evangelista LF, Labandilo LD, Romano MB, Afable JO, et al. MIMs Thailand. 106th ed. Bangkok: MediMedia (Thailand); 2007.

นรวร เจนณรงค์ , หทัยรัตน์ คังคะสุวรรณ
โพยม วงศ์ภูวรักษ์
23 สิงหาคม 2552 12 ตุลาคม 2553
เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย