ในกรณีที่รับประทานยาเบาหวานก่อนอาหารแล้วไม่ได้รับประทานอาหารจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดลดลงและเป็นอันตรายรุนแรงได้ จึงไม่แนะนำ ทั้งนี้หากแพทย์พิจารณาจ่ายยาในมื้อที่เราไม่ได้รับประทานอาหาร อาจปรึกษาแพทย์ เพื่อปรับเปลี่ยนมื้ออาหารที่ต้องรับประทานยาน่าจะเป็นวิธีที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้การรับประทานยาแล้วไม่ได้รับประทานอาหารจะเป็นอันตรายเนื่องจากยาที่รับประทานก่อนอาหารจะเป็นกลุ่มที่กระตุ้นการหลั่งอินซูลินซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง อาจส่งผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โดยหากมีการตรวจเลือดด้วยตัวเองจะมีน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 70 mg/dl ซึ่งจะมีอาการต่างๆ เช่น หิว หงุดหงิด กระวนกระวาย ใจสั่น มือสั่น เหงื่อแตก วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย สับสน เป็นลม หมดสติ หรืออาจเสียชีวิตได้ ซึ่งภาวะนี้เกิดได้จากการออกกำลังมากเกินไป รับประทานยาก่อนอาหารแล้วไม่ได้รับประทานอาหารหรืออดอาหาร หรือได้รับยาเกินขนาด ดังนั้นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำจะมีอันตรายอย่างมาก ทั้งนี้หากมีอาการเช่นนี้อย่างแรกที่ต้องปฎิบัติคือ ต้องเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดให้มากขึ้น เช่น ดื่มน้ำหวาน อมลูกอม หรือรับประทานอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล (อาหารประเภทไขมันจะลดอัตราการดูดซึมน้ำตาลได้จึงไม่ควรให้ในผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะนี้) หลังจากนั้นนั่งพักสักครู่รอให้อาการดีขึ้น หากหลังจากนั้นประมาณ 10 ถึง 15 นาที อาการไม่ดีขึ้นให้รับประทานซ้ำ ทั้งนี้หากมีอาการรุนแรงควรรีบไปพบแพทย์
จากคำถามที่ว่าจะกินยาคุมกำเนิดเพื่อเพิ่มน้ำหนักนั้นไม่แนะนำนะครับเนื่องจากผลที่ทำให้มีน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นไม่ชัดเจน คือมีบางรายที่น้ำหนักเพิ่ม และบางรายก็ไม่ได้เพิ่ม ทั้งนี้การเพิ่มขึ้นลงของน้ำหนักจากการกินยาคุมก็มีผลตามรอบเดือนไม่ได้เพิ่มขึ้นตลอด โดยผลของการที่มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกิดจากฮอร์โมน Estrogen ที่ส่งผลให้มีการหลั่งฮอร์โมนที่ส่งผลต่อการกักเก็บน้ำและเกลือในร่างกาย ทำให้รู้สึกบวมน้ำ มีน้ำมีนวลมากขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้ estrogen ในยาคุมโดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็น Ethinyl estradiol ซึ่งจะมีขนาดแตกต่างกันในแต่ละชื่อการค้า (ยี่ห้อ) ทั้งนี้หากปกติจำเป็นต้องใช้ยาคุม และมีรูปร่างที่ผอม อาจเลือกยาคุมที่มีตัวของ Ethinyl estradiol ที่สูง (ประมาณ 30-35 mcg) ทั้งนี้อาจปรึกษาเภสัชกรประจำร้านยาเพื่อความถูกต้องและเหมาะสมได้นะครับ
โดยปกติ paracetamol 500 mg (ยาสามัญประจำบ้าน) ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 8 เม็ด (4000 mg) ติดต่อกันไม่เกิน 5 วัน ซึ่งหากรับประทานมากเกินกว่านี้ยาจะมีผลต่อตับได้ โดยผลของยาต่อตับเกิดจากสารที่ทำหน้าที่ย่อยสลายยาในตับหมดลง (ในตับมีสารที่จะสามารถย่อยสลายยานี้ให้ถูกขับออกจากร่างกายได้ ทั้งนี้ก็เป็นสารประเภทเดียวกันกับสารที่ให้เข้าไปร่างกายผู้ป่วยที่ได้รับยานี้เกินขนาด)เกิดผลทำให้มียานี้หลงเหลืออยู่ในตับและเกิด ภาวะเป็บพิษขึ้น การที่ไม่ควรกินยานี้เกินขนาดและติดต่อกันเป็นเวลานานเนื่องจากสารดังกล่าวในตับจะหมดไปและต้องใช้เวลากว่าจะสร้างทดแทนมาได้เพื่อป้องกันการเกิดพิษต่อตับ
ต่อข้อซักถามที่ว่าการทานในปริมณเยอะๆแล้วไม่มีอาการใดๆนั้น ไม่ใช่ทุกรายที่จะทำให้ตับวายขึ้นอยู่กับขนาดที่ได้รับ ภาวะการทำงานของตับ และโรคประจำตัวบางชนิด ทั้งนี้อาการแสดงในผุ้ป่วยที่ได้รับในปริมาณสูงอาจมีหลายอย่างเช่นคลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น และอาจเกิดรอยโรคหรือเนื้อเยื่อตับโดยทำลายหรือตายบางส่วน ซึ่งยังไม่รุนแรงจนถึงภาวะตับวายได้ แต่หากได้รับปริมาณมากๆ ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดภาวะตับวายได้ครับ
ยา...มีคุณอนันต์ แต่มีโทษมหันต์หากท่านใช้ผิดวิธี
ศูนย์ข้อมูลยา
ศูนย์ข้อมูลโรค
จากคำถามเกี่ยวกับยา Norfloxacin นั้น ยาตัวนี้เป็นยาฆ่าเชื้อกลุ่ม Fluoroquinolone ซึ่งยาในกลุ่นนี้จะทำปฎิกริยากับเกลือแร่บางชนิดเช่น เหล็ก สังกะสี อะลูมิเนียม แมกนีเซียม ซึ่งอยู่ในหาหารได้ทำให้การดูดซึมของยาลดลง จึงแนะนำให้รับประทานยานี้ห่างจากมื้ออาหารประมาณ 2 ชั่วโมง เพื่อให้ยาดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ตัวยาไปยังอวัยวะที่ต้องการรักษาได้ดีขึ้น ในกรณีของการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจึงแนะนำให้รับประทานแบบนี้จะให้ผลที่ดีกว่า แต่สำหรับการติดเชื้อในทางเดินอาหารซึ่งจะก่อให้เกิดอาการท้องเสีย เชื้อก่อโรคจะอยู่ในทางเดินอาหารจึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการดูดซึมเนื่องจากต้องการให้ยาอยู่ในทางเดินอาหาร การรับประทานหลังอาหารจึงมีประโยชน์ในการรับประทานยานี้