ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย/อาการ:
อ่าน: 16

แผลกระเพาะอาหาร (Peptic ulcer )

คำจำกัดความ

โรคแผลกระเพาะอาหาร (peptic ulcer) คือโรคที่มีแผลเกิดในกระเพาะอาหาร เป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 10 ของประชากรทั่วไป และพบได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะมีอาการเป็นๆ หายๆ เรื้อรัง แบ่งเป็น 2 ชนิด ตามตำแหน่งที่เกิดแผล คือ

  1. โรคแผลที่กระเพาะอาหาร (gastric ulcer) : มักพบในวัยกลางคน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 3 เท่า
  2. โรคแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenal ulcer) : พบมากกว่าแผลที่กระเพาะอาหารประมาณ 2 เท่า โดยพบบ่อยในวัยหนุ่มสาว (อายุเฉลี่ยของผู้เป็นโรคนี้ คือ 35 ปี) และพบในผู้ชายบ่อยกว่าผู้หญิงประมาณ 4 เท่า

อาการ

  1. อาการปวดท้อง : เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด โดยมีลักษณะคือ
    • ปวดหรือจุกแน่นท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่ หรือหน้าท้องช่วงบน
    • มักเป็นเวลาท้องว่างหรือเวลาหิว และมักจะบรรเทาได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด ดังนั้นอาการปวดท้องจึงเป็นเฉพาะบางช่วงเวลาของวัน
    • ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากที่หลับไปแล้ว
    • อาการปวดท้อง มักจะเป็นๆหายๆ โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์ แล้วหายไปหลายเดือนจึงกลับมาปวดอีก
    • ระยะเวลาที่ปวด : แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นอาการปวดท้องจะเกิดขึ้นภายหลังรับประทานอาหาร 2-3 ชั่วโมง หรือขณะท้องว่าง ส่วนแผลที่กระเพาะอาหาร อาการปวดจะเกิดขึ้นหลังจากรับประทานอาหาร 30-60 นาที และจะปวดอยู่นาน 60-90 นาที
  2. ผู้ป่วยบางราย อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

สาเหตุ

แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น เกิดจากการหลั่งกรดในกระเพาะมากกว่าปกติ ซึ่งทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุผิวของลำไส้เล็กส่วนต้นแล้วเกิดเป็นแผลขึ้นมา โรคนี้พบมากในคนที่เคร่งเครียดกับการงาน รับประทานอาหารไม่เป็นเวลาและวิตกกังวล นอกจากนี้ผู้ป่วยที่ป่วยด้วยโรคไขข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง โรคปอดเรื้อรัง และโรคตับอักเสบเรื้อรัง อาจจะเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นได้ ดังนั้นผนังเยื่อบุของกระเพาะและลำไส้จึงต้องมีกลไกในการปรับสภาพให้ทนต่อกรดและน้ำย่อยได้ จึง ไม่เกิดแผลในภาวะปกติ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแผลได้แก่ การติดเชื้อ เอช.ไพโลไร (H.pylori), ยาแก้ปวดข้อและกระดูก, ยาแอสไพริน, ความเครียด, เหล้าและบุหรี่ เป็นต้น ซึ่งสาเหตุเหล่านี้ทำให้มีการหลั่งกรดออกมามากกว่าที่เยื่อบุกระเพาะและลำไส้จะทนได้จึงทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก แผลที่กระเพาะอาหารเกิดจากความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารเสื่อมลง แต่ไม่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาการมากกว่าปกติ อาจมีสาเหตุมาจากยา เช่น แอสไพริน (aspirin) กลุ่มยาแก้ปวดต้านการอักเสบ(NSAIDs) หรือเกิดจากน้ำดีขย้อนจากลำไส้เล็กขึ้นมาที่กระเพาะอาหารก็ได้ นอกจากนี้อาจพบร่วมกับโรคอื่นๆ เช่น โรคปอด โรคไต หรือโรคมะเร็ง

ปัจจัยที่ทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้มากขึ้น

  • บุหรี่ ทำให้มีการผลิตกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น นอกจากนี้ ยังทำให้แผลหายช้า
  • ยา บางอย่าง มี ผลทั้งระคายเคืองกระเพาะอาหารโดยตรง และทำให้กลไกการป้องกันในกระเพาะอาหารเสียไป ได้แก่ ยาแอสไพริน กลุ่มยา NSAIDs ที่ใช้รักษาโรคข้อแก้ปวด ยาในกลุ่มเสตียรอยด์ ฯลฯ
  • ความเครียดความกังวล ทำให้มีการหลั่งกรดมากขึ้น
  • กินอาหารไม่เป็นเวลา
  • พักผ่อนน้อย
  • การติดเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) ในเยื่อบุกระเพาะอาหาร เป็นสาเหตุที่พบได้บ่อย

การวินิจฉัย

  • การซักประวัติ : เพื่อดูว่าอาการของผู้ป่วยเข้าได้กับโรคแผลในกระเพาะอาหารหรือไม่ และดูว่าผู้ป่วยมีอาการเตือนที่บ่งบอกว่าผู้ป่วยอาจเป็นมะเร็งของกระเพาะอาหารหรือไม่ เช่น เบื่ออาหาร,น้ำหนักลด,ซีด,มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
  • การตรวจร่างกาย : ดูว่ามีอาการซีดหรือไม่ , ตรวจบริเวณช่องท้องว่าคลำได้ก้อนหรือไม่ และคลำบริเวณคอหรือขาหนีบว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตร่วมด้วยหรือไม่ ซึ่งอาจบ่งบอกถึงมะเร็งในกระเพาะอาหาร เป็นต้น
  • การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม
    1. ตรวจเลือด : ดูว่ามีภาวะซีดร่วมด้วยหรือไม่
    2. ตรวจอุจจาระเพื่อดูว่า มีลือดออกในทางเดินอาหารหรือไม่ : เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น ว่ามีแผลหรือมะเร็งในทางเดินอาหารส่วนต้นหรือไม่ ก่อนที่จะพิจารณาส่งผู้ป่วยไปส่องกล้องทางปากต่อไป
    3. การส่องกล้องในทางเดินอาหาร : มีประโยชน์คือ
      1. ช่วยยืนยันการวินิจฉัยว่ามีแผลในกระเพาะอาหารจริงหรือไม่ รวมทั้งทำให้ทราบถึงขนาดและตำแหน่งของแผลด้วย
      2. สามารถตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรได้ โดยการคีบชิ้นเนื้อเล็ก ๆ ขนาด 2-3 มิลลิเมตร มาตรวจหาเชื้อ
      3. ตัดชิ้นเนื้อ เพื่อส่งตรวจพยาธิสภาพ ในกรณีที่สงสัยมะเร็งกระเพาะอาหาร ( คือ ผู้ป่วยรายที่สงสัยว่าป่วยเป็น โรคกระเพาะอาหารอักเสบ แต่ให้การรักษาด้วยยาลดกรดและยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร แล้วอาการไม่ดีขึ้น)
    4. ตรวจหาการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ซึ่งมักพบร่วมกับการเกิดแผลในทางเดินอาหาร ทำโดย
      1. การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร : ถ้าผู้ป่วยมีผลเลือดเป็นบวก แสดงว่ากำลังมีการติดเชื้อดังกล่าว
      2. การตรวจหาสารยูเรียจากลมหายใจ เนื่องจากเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร มีสามารถในการเปลี่ยนกรดให้กระเพาะอาหารให้กลายเป็นสารยูเรียซึ่งจะระเหยปนออกมากับลมหายใจ ทำให้เมื่อมีการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร จะสามารถตรวจพบยูเรียในลมหายใจได้
      3. นำชิ้นเนื้อที่ได้จากตอนส่องกล้อง มาตรวจหาเชื้อส่งตรวจพยาธิสภาพได้

ภาวะแทรกซ้อน

  1. เลือดออกจากแผลในกระเพาะอาหาร : พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำเหลว หรือหน้ามืด วิงเวียน เป็นลม โลหิตจางจากขาดธาตุเหล็ก
  2. กระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลันรุนแรง หน้าท้องแข็งตึง กดเจ็บมาก
  3. กระเพาะอาหารอุดตัน ผู้ป่วยจะกินได้น้อย อิ่มเร็ว มีอาเจียนหลังอาหารเกือบทุกมื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง

การรักษาและยา

การรักษาโรคแผลกระเพาะอาหารจะประกอบด้วยสองส่วนคือ

  1. การรักษาแผล
    1. ให้ยาลดกรดหรือยาที่ช่วยป้องกันเยื่อบุกระเพาะอาหาร : แพทย์ มักจะให้ยากลุ่มลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร หรือ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร เช่น ยา Cimetidine Ranitidine Omeprazole Sucralfate ซึ่งยังมีอีกหลายชนิด หลายกลุ่ม ส่วนใหญ่แพทย์มักไม่ให้ยาน้ำเคลือบผิวผนังกระเพาะอาหาร เช่น Alum milk หรือยาธาตุน้ำขาว เพราะการใช้ยา Alum milk อย่างเดียว เพื่อรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหาร ต้องกินบ่อยครั้งในปริมาณมาก จนอาจมีผลข้างเคียงของยาได้ บางครั้ง แพทย์ อาจให้ Alum milk มาใช้บรรเทาอาการ ร่วมกับยาอื่นก็ได้ การรักษาด้วยยาอาจใช้เวลา 4-8 สัปดาห์
    2. การกำจัดสาเหตุของแผล ได้แก่ การหยุดยาแก้ปวดต้านการอักเสบ (NSAIDs) และการลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่กระตุ้นให้เกิดแผล
  2. การกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร : สามารถกำจัดได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ ซึ่งประกอบด้วยยาปฏิชีวนะ 2 ชนิด และยาลดกรดในกระเพาะอาหาร ใช้ร่วมกันในการรักษา โดยจะต้องรับประทานยา 2 สัปดาห์

ส่วนในกรณีของอาการปวดท้องกระเพาะอาหารที่ไม่ทราบสาเหตุนั้นการรักษาที่สำคัญคือการหลีกเลี่ยงตัวกระตุ้นต่างๆ การลดความวิตกกังวลและความเครียดและการยอมรับว่าการรักษาอาจจะไม่ได้ทำให้อาการหายไปทั้งหมด ร่วมกับการให้ยาเพื่อรักษาอาการที่เกิดขึ้น ในขณะที่การให้ยาเพื่อกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลรีนั้นจะไม่มีความสำคัญนัก

คำแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย : พึงระลึกไว้เสมอว่า โรคแผลกระเพาะอาหารเป็นโรคเรื้อรัง เป็นๆ หายๆ มักไม่หายขาดตลอดชีวิต ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษาติดต่อกันเป็นเวลานาน หลังได้รับยา อาการปวดจะหายไปก่อน ใน 3-7 วัน แต่แผลจะยังไม่หาย ส่วนใหญ่ใช้เวลาถึง 4-8 สัปดาห์ แผลจึงหาย เมื่อหายแล้ว จะกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระวังปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง หลักการปฏิบัติตัว ได้แก่
  • รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ถ้ารู้สึกหิวก่อนเวลาอาจดื่มนมช่วยก็ได้
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
  • หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่ระคายเคืองต่อกระเพาะ เช่น แอสไพริน (aspirin), เพรดนิโซโลน (prednisolone), เดกซาเมธาโซน (dexamethasone), อินโดเมธาซิน (indomethacin) ยากลุ่มแก้ปวดต้านการอักเสบ (NSIADs) เป็นต้น
  • งดสูบบุหรี่ และงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะอาจกระตุ้นให้มีการหลั่งกรดมากขึ้น
  • พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งจะช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น
  • ผู้ที่มีอาการปวดท้องตอนกลางคืน อาจรับประทานอาหารอ่อนๆ หรือดื่มนม 1 แก้ว ก่อนนอน ร่วมกับยาลดกรด จะช่วยให้ปวดน้อยและหายไปได้
  • ทำอารมณ์ให้แจ่มใส ไม่เครียดหรือหงุดหงิดง่าย
  • กินอาหารจำนวนน้อยๆ แต่กินให้บ่อยมื้อ ไม่ควรกินจนอิ่มมากในแต่ละมื้อ
  • ถ้ามีอาการของภาวะแทรกซ้อน ต้องรีบไปพบแพทย์
ควรพบแพทย์เมื่อ
  • มีอาการเสียดแน่นรุนแรง และมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหน้าอก หอบแน่น หายใจลำบากร่วมด้วย
  • มีอาการอาเจียนร่วมด้วย หรือสังเกตว่าถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ
  • มีอาการปวดท้องเรื้อรังมานาน หรือเป็นๆ หายๆ มานาน
  • มีอาการน้ำหนักตัวลดอย่างชัดเจน

ยาที่เกี่ยวข้อง

แหล่งอ้างอิง

  1. WWW.mayoclinic.com
  2. ชาญวิทย์ ตันติ์พิพัฒน์ และ ธนิต วัชรพุกก์. ตำราศัลยศาสตร์. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 7. 2546;531-547.
  3. วิทยา ศรีดามา. Evidence-based clinical practice guideline ทางอายุรกรรม 2548. โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. พิมพ์ครั้งที่ 2. 2548
  4. H. pylori and peptic ulcer. National Digestive Diseases Information Clearinghouse. http://digestive.niddk.nih.gov/ddiseases/pubs/hpylori/. Accessed Oct. 16, 2008.
  5. What I need to know about peptic ulcers. National Digestive Diseases Information Clearinghouse. http://digestive.niddk.nih.gov/ddiseases/pubs/pepticulcers_ez/. Accessed Oct. 16, 2008.
  6. Peptic ulcer disease. American Gastroenterological Association. http://www.gastro.org/frame-templates/print_template.cfm. Accessed Oct. 16, 2008.

Share |

04 มิถุนายน 2553 19 มิถุนายน 2553
A B C D E F G H I J K L M
N O P Q R S T U V W X Y Z

เนื้อหาเกี่ยวกับโรคทั้งหมดเรียบเรียงโดยแพทย์หรือนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเนื้อหาโดยแพทย์อีกอย่างน้อย 1 ท่าน เนื้อหาในเว็บไซต์นี้ ไม่มุ่งประโยชน์ทางการค้า และไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากองค์กรแสวงหาผลกำไรใด ๆ

เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย