เป็นที่ทราบกันดีว่า การกินวิตามินรวมในคนสูงอายุ การกินมังสวิรัติ หรือได้รับแสงแดดอ่อนน้อยกว่าวันละ 10 นาที (ทำให้ร่างกายได้รับวิตามิน D ลดลง) การกินแคลเซียมเสริม (ในรูปอาหาร อาหารเสริม หรือแคลเซียมเม็ด) ถ้ากินนมต่ำกว่าวันละ 2 แก้ว การกินโฟเลต (วิตามิน B ชนิดหนึ่ง) ในผู้หญิงที่ตั้งใจจะมีลูก (ช่วยป้องกันความผิดปกติของเด็กในท้อง) มีแนวโน้มจะดีกับสุขภาพ
อ. ดร.เชลดอน เอส. เฮนด์เลอร์ ผู้ร่วมเขียนตำรา 'Physician’s Desk Reference for Nutritional Supplements’ หรือ “คู่มือประจำโต๊ะหมอเกี่ยวกับอาหารเสริม” ให้คำแนะนำในการกินวิตามินและอาหารเสริมอื่น ๆ ดังต่อไปนี้
- วิตามินเกือบทุกชนิดควรกินพร้อมอาหารที่มีไขมัน
- วิตามินที่ละลายในน้ำมันได้แก่ A,D,E,K จำเป็นต้องใช้น้ำมันในอาหารเป็นตัวทำละลาย และตัวพาเข้าสู่กระแสเลือด
- สารพฤกษเคมีหรือสารคุณค่าพืชผัก เช่น เบต้าแคโรทีน ไลโคพีน ลูทีน ซีแซนทีน ฯลฯ ดูดซึมได้ดีที่สุดเมื่อกินพร้อมอาหารที่มีไขมัน
- แร่ธาตุ
- การดูดซึมแคลเซียม (และแร่ธาตุอีกหลายชนิด เช่น ธาตุเหล็ก ฯลฯ) ทำได้ดีเมื่อกินพร้อมอาหาร เนื่องจากอาหารจะกระตุ้นให้เกิดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร
- ถึงแม้แคลเซียมบางชนิดจะดูดซึมได้ดีตอนท้องว่าง เช่น แคลเซียมซิเทรท ฯลฯ ทว่า... ชีวิตจะง่ายขึ้นถ้ากินพร้อมอาหาร โอกาสที่คนเราจะลืมกินยาก่อนอาหารมีสูงกว่ายาหลังอาหาร
- ธาตุเหล็กดูดซึมได้ดีที่สุดตอนท้องว่าง แต่การกินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กตอนท้องว่างอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ ท้องอืด แน่นท้อง อาเจียนได้
- ทางที่ดีคือ กินยาบำรุงเลือดที่มีธาตุเหล็กพร้อมอาหารมื้อเล็ก ๆ หรือหัดกินอาหารแค่เริ่มอิ่ม แล้วดื่มน้ำตามนิดหน่อย ไม่ใช่กินจนอิ่มเต็มที่
ร่างกายคนเราดูดซึมแคลเซียมได้มื้อหนึ่งไม่เกิน 500 มิลลิกรัมในคนตัวโต... การแบ่งครึ่งเม็ดยาจากการกินวันละ 1 ครั้งเป็นวันละ 2 ครั้งมีส่วนช่วยให้การดูดซึมดีขึ้น
ถึงตรงนี้...ขอให้พวกเรามีสุขภาพดีไปนาน ๆ ครับ
Nytimes รายงาน
ภาพจาก Flickr.com