ยาหรือสิ่งใดบ้างที่ควรระวังหากใช้ร่วมกับยาคุมกำเนิด ??
ยาบางชนิดอาจเกิดอันตรกิริยากับยาคุมกำเนิด และอาจมีข้อแนะนำว่า ไม่ควรใช้ร่วมกัน แต่ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรือแนะนำข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น
ก. ยาที่ลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด
ก.1. ยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน (amoxicillin), แอมพิซิลลิน (ampicillin), ด็อกซีซัยคลิน (doxycycline), เพนิซิลิน (penicillin), เตตราซัยคลิน (tetracycline)
ยาปฏิชีวนะจะไปมีผลลดประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิด ทำให้ระดับของยาคุมกำเนิดลงลดซึ่งอาจเกิดการตั้งครรภ์โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ (unplanned pregnancy) ผู้ที่ใช้ยาปฏิชีวนะดังกล่าวร่วมกับยาคุมกำเนิดนานกว่า 2 สัปดาห์ ควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์
ก.2. ยากลุ่มบาร์บิทูเรต (barbiturates), ยากันชักคาร์บามาซีพิน (carbamazepine), เฟนิทอยน์ (phenytoin), ไพรมิโดน (primidone), ยาต้านวัณโรคไรแฟมพิซิน (rifampicin), ยาฆ่าเชื้อรากริซีโอฟุลวิน (griseofulvin) ยาดังกล่าวนี้ถูกเปลี่ยนรูปที่ตับและจะรบกวนประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด
ก.3. ยาต้านไวรัสริโทนาเวียร์ (ritonavir)
ยาต้านไวรัสนี้จะไปลดระดับยาคุมกำเนิดได้ถึง 40%
ก.4. ยาต้านไวรัสเนอร์วิราพีน (nevirapine)
ยาต้านไวรัสนี้จะถูกเปลี่ยนรูปที่ตับและจะรบกวนประสิทธิภาพยาคุมกำเนิด
การใช้ยาข้างต้นร่วมกับยาคุมกำเนิดโดยเฉพาะชนิดที่มีฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen) เป็นส่วนประกอบ มีผลลดระดับยาคุมกำเนิดและเพิ่มการเกิดเลือดออกกะปริดกะปรอย (breakthrough bleeding) ผู้ป่วยควรแจ้งแพทย์ให้ทราบหากกำลังใช้ยาเหล่าอยู่ และควรใช้ถุงยางอนามัยเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ หรืออาจมีการปรับระดับยาคุมกำเนิดตามความเหมาะสมของแพทย์
ข. ยาที่ยาคุมกำเนิดรบกวนการออกฤทธิ์หรือเพิ่มอาการไม่พึงประสงค์ของยาอื่น มีดังนี้
ข.1. ยารักษามะเร็งเต้านมทาม็อกซิเฟน (tamoxifen)
ยาคุมกำเนิดจะไปรบกวนฤทธิ์ของยาทาม็อกซิเฟน
ข.2. ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (anticoagulants) เช่น คูมาริน (coumarin)
ผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิดร่วมด้วย ในบางรายมีผลลดประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด แต่บางรายอาจมีผลเพิ่มประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือด ซึ่งยังไม่ทราบกลไกที่ชัดเจน อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ใช้ยาทั้งสองชนิดนี้ร่วมกันต้องมีการติดตามการใช้ยาและปรับขนาดยาต้านการแข็งตัวของเลือดตามความเหมาะสมของแพทย์
ข.3. อินซูลิน (insulin)
เนื่องจากยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม มีฮอร์โมนเอสโทรเจน (estrogen) เป็นส่วนประกอบซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน (insulin resistance) จะมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน อย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรควบคุมการรับประทานอาหารและติดตามผลการรักษาร่วมด้วย
ข.4. ยากลุ่มเบนโซไดอะซีพีน (benzodiazepine) เช่น ไดอะซีแพม (diazepan), อัลปราโซแลม(alprazolam), ไตรอะโซแลม (triazolam)
ยากลุ่มนี้มีข้อบ่งใช้แตกต่างกันไป เช่น คลายกังวล, ต้านซึมเศร้า, คลายกล้ามเนื้อ โดยยาคุมกำเนิดมีผลเพิ่มระยะเวลาในการกำจัดยาออกให้นานขึ้น ทำให้ยาเบนโซไดอะซีพีนอยู่ในร่างกายนานขึ้น จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากยาได้
ข.5. ยาลดระดับไขมันในเลือดคลอไฟเบรท (clofibrate)
ยาคุมกำเนิดไปมีผลลดประสิทธิภาพของยาคลอไฟเบรท
ข.6. ยากันชักลาโมไตรจีน (Lamotrigine)
ยาคุมกำเนิดจะลดความเข้มข้นของยาลาโมไตรจีน
ข.7. ยาต้านมะเร็งไซโคสปอร์ริน (Cyclosporin)
ยาคุมกำเนิดจะเพิ่มความเข้มข้นของยาไซโคสปอร์ริน
ข.8. ยาลดความดันกลุ่มที่เพิ่มการเก็บกลับโพแทสเซียม (potassium sparing)
ยาคุมกำเนิดที่ประกอบด้วยฮอร์โมนชนิดโดสไปรีโนน (drospirenone) มีความเสี่ยงทำให้โพแทสเซียมในเลือดสูง (hyperkalaemia) หากใช้ร่วมกับยาลดความดันกลุ่มนี้
ค. การดื่มกาแฟและการสูบบุหรี่
ค.1. คาเฟอีน (caffeine)
ยาคุมกำเนิดไปมีผลเพิ่มระดับคาเฟอีนได้ถึง 30-40% จึงควรระวังผลข้างเคียงจากคาเฟอีน เช่น อาการใจสั่น, นอนไม่หลับ
ค.2. บุหรี่
ผู้ที่สูบบุหรี่จัดมากกว่า 20 มวนต่อวัน ไม่แนะนำให้ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานเนื่องจากจะเพิ่มความเสี่ยงต่อหัวใจและหลอดเลือด โดยความเสี่ยงจะเพิ่มมากขึ้นในผู้ที่อายุ 35 ปีขึ้นไป
อ้างอิง
1. Micromedex Thomson Healthcare. Estrogen and Progestins (Oral Contraceptive) ,Drug Information for Health Care Profession . USP DI volume l: Micromedex , 2007: 1461-2.
2. Amy JJ, Tripathi V. Contraception for women: an evidence based overview. BMJ 2009; 563-8.