ยาไซโดวูดีน หรือ ซิโดวูดีน (zidovudine) หรืออาจเรียกว่า เอซิโดไทมิดีน (azidothymidine) หรือย่อว่า “เอแซดที (AZT)” ใช้เป็นยาร่วมกับยาตัวอื่นในการรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus, HIV) ซึ่งทำให้เกิดโรคเอดส์หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS)
ยาไซโดวูดีนใช้ในการชะลอการดำเนินไปของโรคสำหรับผู้ที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ทั้งผู้ที่ไม่มีอาการแสดงของโรค, มีอาการแสดงของโรคเล็กน้อยและมีอาการแสดงของโรคมาก
อีกทั้งยานี้ใช้ในการป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีจากแม่ที่ติดเชื้อไปสู่ลูกในระหว่างที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตร
ยาไซโดวูดีนไม่สามารถรักษาหรือป้องกันภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ แต่ยานี้จะช่วยชะลอการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวีและการเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องให้ช้าลงซึ่งอาจช่วยชะลอการเกิดอาการหรือปัญหาต่าง ๆ เนื่องจากภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ยาไซโดวูดีนอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงรวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับความผิดปกติของไขกระดูก อาการที่บ่งบอกถึงการมีพยาธิสภาพที่ไขกระดูกได้แก่ มีไข้, หนาวสั่น, เจ็บคอ, ผิวซีดและมักจะมีอาการเหนื่อยล้าหรืออ่อนแรงมากผิดปกติ ปัญหาที่เกี่ยวกับความผิดปกติของไขกระดูกแก้ไขโดยการถ่ายเลือดหรือหยุดรับประทานยาไซโดวูดีนชั่วคราว ควรพบแพทย์ทันทีหากท่านมีอาการผิดปกติใดๆในระหว่างรับประทานยาไซโดวูดีน
ยาไซโดวูดีนในประเทศไทยมีรูปแบบยา 2 แบบ ได้แก่ ยาแคปซูลและยาน้ำเชื่อมใสสำหรับรับประทาน
โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆหรือมีประวัติการแพ้ยาไซโดวูดีน (zidovudine) รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่นๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น
รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'C' สำหรับสตรีมีครรภ์
จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาที่ควบคุมอย่างดีในมนุษย์ หรือ ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์และสัตว์ถึงผลของยาต่อตัวอ่อนหรือทารกในครรภ์ ดังนั้น ควรใช้ยานี้เมื่อมีการประเมินแล้วว่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์
ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยานี้ เว้นแต่แพทย์พิจารณาแล้วว่าจำเป็นต้องใช้ เนื่องจากยาไซโดวูดีน (zidovudine) สามารถผ่านรกได้ จากการศึกษาในสตรีมีครรภ์พบว่ายาไซโดวูดีนสามารถลดการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีจากแม่สู่ลูกได้ในระหว่างที่ตั้งครรภ์และระหว่างคลอด นอกจากนี้ยาไซโดวูดีนไม่เพิ่มอุบัติการณ์การเกิดทารกวิรูปอีกด้วย
จากการศึกษาในสัตว์ทดลองก็พบว่า ยาไซโดวูดีนไม่ทำให้เกิดทารกวิรูปยกเว้นการใช้ยานี้ในขนาดยาที่สูงมาก ๆ อย่างไรก็ตามยังมีการศึกษาที่พบว่ายาไซโดวูดีนลดจำนวนแม่ที่ตั้งครรภ์และคลอดบุตรสำเร็จในหนูและกระต่ายโดยใช้ขนาดยาที่สูงกว่าขนาดยาที่ใช้ในมนุษย์หลายเท่า
ยาไซโดวูดีน (zidovudine) สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมได้ ท่านจึงไม่ควรให้นมบุตรในขณะที่รับประทานยานี้
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่มีภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้ออาจแพร่ผ่านน้ำนมสู่ทารกที่ดื่มนมและทำให้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้
ยาไซโดวูดีน (zidovudine) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงในผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะในเด็ก ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินข้อดีข้อเสียของการรักษาด้วยยานี้ ผู้ป่วยเด็กอาจต้องระมัดระวังเป็นพิเศษโดยมาพบแพทย์ตามนัดบ่อยกว่าปกติ
ยังไม่ทราบว่ายานี้ทำให้เกิดอาการข้างเคียง, ปัญหาใด ๆ ที่แตกต่างกันในผู้สูงอายุกับผู้ป่วยวัยอื่นหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบการใช้ยาไซโดวูดีน (zidovudine) ในผู้สูงอายุกับวัยอื่น ๆ
ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานยาไซโดวูดีน(zidovudine) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้อยู่
ควรแจ้งแพทย์ให้ทราบ หากท่านกำลังรับประทานยาอื่น ๆ ที่ใช้ในการรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่านกำลังรับประทานยาสทาวูดีน (stavudine)
ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาไซโดวูดีน (zidovudine) ท่านควรแจ้งแพทย์หากท่านมีภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย
สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาในรูปแบบของเหลว
ควรใช้ช้อนตวงที่ให้ไปพร้อมยาเนื่องจากช้อนตวงในครัวเรือนมักตวงยาได้ในปริมาณที่ไม่ถูกต้องแม่นยำ อาจได้รับขนาดยาที่ไม่ถูกต้อง
ขนาดยาของยาไซโดวูดีน (zidovudine) อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรรับประทานยาตามแพทย์หรือตามที่ระบุไว้บนฉลากยา
จำนวนครั้งของการรับประทานยาในแต่ละวัน,ระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งและระยะเวลาที่ท่านรับประทานยาขึ้นอยู่กับสภาวะโรคของท่านที่ท่านต้องรับประทานยาไซโดวูดีน
หากท่านลืมรับประทานยาให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้ถึงมื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
ยาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ต้องการ ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงต่อไปนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่หากเกิดอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นหรือท่านมีข้อสงสัยใดๆควรกลับไปพบแพทย์ทันที
ก.ควรพบแพทย์ทันที หากมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้เกิดขึ้น
พบบ่อย
มีไข้, หนาวสั่น, เจ็บคอ, ผิวหนังซีด, เหนื่อยล้าหรืออ่อนเพลียมากผิดปกติ
อาการข้างเคียงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นหลังหยุดยาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนก็ได้
พบน้อยมาก
ไม่สบายท้อง, สับสน, ชัก, ท้องร่วง, หายใจถี่, ความอยากอาหารลดลง, อารมณ์หรือจิตใจผิดปกติ, ปวดกล้ามเนื้อ, กล้ามเนื้อตึง ไม่มีแรงหรือเกร็ง, คลื่นไส้, ง่วงซึม
ข.ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน
พบบ่อย
ปวดศีรษะอย่างรุนแรง, คลื่นไส้, หลับยาก
พบน้อย
เล็บมีเส้นสีน้ำตาล, สีผิวเปลี่ยนไป
ค. อาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการข้างเคียงอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้
ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้
Abacavir, Abacavir, lamivudine, zidovudine, Amprenavir, Delavirdine, Didanosine , Efavirenz, Indinavir, Lamivudine, Lopinavir+ritonavir, Nevirapine, Ritonavir, Saquinavir, Tenofovir
ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้
Antivir cap (แอนติเวียร์), Antivir syr (แอนติเวียร์ ไซรัป), Retrovir cap (รีโทรเวียร์), T.O.Vir cap (ที.โอ.เวียร์), T-ZA cap (ที-ซา)
ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว