ยาไดดาโนซีน (didanosine) ใช้ในการรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีซึ่งทำให้เกิดโรคเอดส์หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS) ยาไดดาโนซีนไม่สามารถรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องให้หายขาดได้ แต่อาจช่วยชะลอการดำเนินไปของโรคได้
ยาไดดาโนซีนไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้ ผู้ที่รับประทานยานี้อาจยังมีอาการที่เกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องและภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีอยู่
ยาไดดาโนซีน (Didanosine) หรืออาจเรียกย่อว่า DDI (ดีดีไอ) อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงรวมทั้งภาวะตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) อาการที่บ่งบอกถึงภาวะตับอ่อนอักเสบได้แก่ ปวดท้อง, คลื่นไส้และอาเจียน
ยาไดดาโนซีนอาจทำให้เกิดภาวะปลายประสาทอักเสบ (peripheral neuropathy) ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการรู้สึกเสียว, แสบร้อน, ชาและเจ็บบริเวณฝ่ามือหรือฝ่าเท้า
ควรแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านมีอาการดังกล่าวขณะรับประทานยานี้
ยาไดดาโนซีนมีรูปแบบยาเม็ดและยาแคปซูล
โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆหรือมีประวัติการแพ้ยาไดดาโนซีน(didanosine) รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่น ๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น
แจ้งบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งหากท่านได้รับการจำกัดอาหารเช่น ต้องรับประทานอาหารที่มีปริมาณโซเดียมต่ำ เป็นต้น เนื่องจากยาไดดาโนซีน (didanosine) ในรูปแบบเม็ดสำหรับเคี้ยว หรือ ยาน้ำสำหรับรับประทานจะมีโซเดียมเป็นองค์ประกอบอยู่ปริมาณมาก อีกทั้งยาไดดาโนซีนในรูปแบบยาเม็ดจะมีฟีนิลอะลานีน (phenylalanine) เป็นองค์ประกอบ ซึ่งต้องจำกัดในผู้ป่วยที่มีภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย (phenylketonuria)
รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'B' สำหรับสตรีมีครรภ์
จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาไม่มีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์ หรือ จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายามีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่พบผลดังกล่าวจากการศึกษาในมนุษย์ ดังนั้น ยาที่จัดอยู่ในประเภทนี้สามารถใช้ในสตรีมีครรภ์ได้ค่อนข้างปลอดภัย
ควรปรึกษาบุคลากรทางการแพทย์ทุกครั้งก่อนใช้ยานี้เนื่องจากยาไดดาโนซีน (didanosine) สามารถแพร่ผ่านรกได้ แม้ว่ายังไม่มีการศึกษาในสตรีมีครรภ์ แต่จากการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่า ยานี้ทำให้เกิดทารกวิรูปหรือปัญหาอื่น ๆ ได้ อีกทั้งยังไม่ทราบว่า ยาไดดาโนซีนจะลดโอกาสการคลอดบุตรจากมารดาที่ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีด้วยหรือไม่
ดังนั้นก่อนใช้ยานี้ ควรแจ้งแพทย์หากท่านกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนที่จะตั้งครรภ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากท่านรับประทานยาไดดาโนซีน ร่วมกับยาสทาวูดีน
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ยาไดดาโนซีน (didanosine) สามารถแพร่ผ่านน้ำนมได้หรือไม่ อย่างไรก็ตามในระหว่างที่มีภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้ออาจแพร่ผ่านน้ำนมสู่ทารกที่ดื่มนมและทำให้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ จึงไม่ควรให้นมบุตรในขณะที่รับประทานยานี้
ยาไดดาโนซีน (didanosine) สามารถทำให้เกิดผลไม่พึงประสงค์ที่ร้ายแรงได้ ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับทราบข้อดีข้อเสียก่อน หากจำเป็นต้องรับประทานยานี้ ควรนำเด็กไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอและควรเฝ้าระวังผลไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
ยังไม่ทราบว่ายาไดดาโนซีน (didanosine) ทำให้เกิดอาการข้างเคียง, ปัญหาใด ๆ ที่แตกต่างกันในผู้สูงอายุกับผู้ป่วยวัยอื่นหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบการใช้ยานี้ในผู้สูงอายุกับวัยอื่น ๆ
ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่จำเป็นอาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม โดยแพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานยาไดดาโนซีน (didanosine) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้อยู่
การใช้ยาต้านแบคทีเรียกลุ่มควิโนโลน (quinolones) ร่วมกับยาไดดาโนซีนอาจทำให้ยาทั้งสองออกฤทธิ์ลดลง หากจำเป็นต้องรับประทานยาด้วยกัน ควรรับประทานยากลุ่มนี้ให้ห่างจากยาไดดาโนซีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
การใช้ยาแดปโซน (dapsone) ร่วมกับยาไดดาโนซีนอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดปลายประสาทอักเสบ (รู้สึกเสียว ปวดแสบปวดร้อน ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า) ได้มากขึ้น อีกทั้งยาแดปโซนอาจออกฤทธิ์ได้ไม่ดี ดังนั้นหากจำเป็นต้องใช้ยาทั้ง 2 ชนิด ควรรับประทานยาแดปโซนก่อนหรือหลังรับประทานยาไดดาโนซีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
การใช้ยาเททราไซคลิน (tetracyclines) ร่วมกับยาไดดาโนซีนอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) อีกทั้งทำให้ยาเททราไซคลินออกฤทธิ์ลดลง ดังนั้นควรรับประทานยาเททราไซคลินก่อนหรือหลังรับประทานยาไดดาโนซีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
การใช้ยาไนโตรฟิวแรนทอยด์ (nitrofurantoin) ร่วมกับยาไดดาโนซีนอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) และปลายประสาทอักเสบ(รู้สึกเสียว ปวดแสบปวดร้อน ชาบริเวณปลายมือปลายเท้า)ได้มากขึ้น
การใช้ยาแกนไซโคลเวียร์ (ganciclovir) ร่วมกับยาไดดาโนซีน อาจทำให้ยาทั้งสองออกฤทธิ์ลดลง ดังนั้นควรรับประทานยานี้หลังยาไดดาโนซีนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
การใช้ยาเดลาเวียร์ดีน (delavirdine) หรือ อินดินาเวียร์ (indinavir) ร่วมกับยาไดดาโนซีนอาจทำให้ยาทั้งสองออกฤทธิ์ลดลง ดังนั้นควรรับประทานยานี้ก่อนยาไดดาโนซีนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง
ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการใช้ยาไดดาโนซีน (didanosine) ท่านควรแจ้งแพทย์หากท่านมีสภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ผู้ป่วยที่มีภาวะเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะตับอ่อนอักเสบ (pancreatitis) มากขึ้น
ยาไดดาโนซีน (didanosine) รูปแบบยาเม็ดจะมีฟีนิลคีโตนูเรียเป็นองค์ประกอบซึ่งต้องจำกัดในผู้ป่วยที่มีภาวะฟีนิลคีโตนูเรีย
ขนาดยาของยาไดดาโนซีน (didanosine) อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรใช้ยาตามที่แพทย์หรือเภสัชกรแนะนำหรือตามที่ระบุไว้บนฉลากยา
จำนวนครั้งของการรับประทานยาในแต่ละวัน, ระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งและระยะเวลาที่ท่านรับประทานยาขึ้นอยู่กับสภาวะโรคของท่านที่ท่านต้องรับประทานยาไดดาโนซีน
หากท่านลืมรับประทานยาให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้ถึงมื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
ท่านควรไปพบแพทย์ตามนัดทุกครั้ง เพื่อแพทย์จะได้ตรวจติดตามความเป็นไปของโรคในระหว่างที่กำลังรักษาด้วยยานี้
ห้ามรับประทานยาใดๆโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์ก่อน เนื่องจากการรับประทานยาบางชนิดอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดผลไม่พึงประสงค์จากยาไดดาโนซีน (didanosine) ได้
เชื้อไวรัสเอชไอวีอาจแพร่สู่ผู้อื่นได้โดยผ่านของเหลวต่างๆของร่างกายรวมทั้งเลือด, ของเหลวที่ช่องคลอดหรือน้ำอสุจิ หากท่านมีภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี ท่านควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์กับผู้อื่นรวมทั้งการแลกเปลี่ยนของเหลวต่างๆของร่างกาย เช่น การให้เลือด เป็นต้น แต่หากท่านต้องการมีเพศสัมพันธ์ ท่านหรือคู่นอนของท่านต้องสวมใส่ถุงยางอนามัยเสมอ ถุงยางอนามัยที่ใช้ต้องทำมาจากยางเท่านั้นและใช้ทุกครั้งที่ท่านมีเพศสัมพันธ์ทั้งทางช่องคลอด, ทวารหนักหรือทางปาก สำหรับการใช้ยาฆ่าเชื้ออสุจิ เช่น โนโนไซนอล-เก้า (nonoxynol-9) อาจช่วยป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีได้บ้าง หากท่านใช้แล้วไม่เกิดอาการระคายเคืองช่องคลอด, ทวารหนักหรือปาก จากผลการทดลองในห้องปฏิบัติการพบว่ายาฆ่าอสุจินี้สามารถฆ่าเชื้อไวรัสเอชไอวีได้
ห้ามใช้เจลหล่อลื่นที่มีส่วนประกอบของไขมันเป็นหลักเนื่องจากผลิตภัณฑ์พวกนี้อาจทำให้ถุงยางอนามัยฉีกขาดได้ หากท่านต้องการใช้เจลหล่อลื่น ควรใช้เจลหล่อลื่นที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลักเช่น เค-วายเจล (K-Y jelly) เป็นต้น สำหรับผู้หญิงควรสวมใส่ถุงยางอนามัยสำหรับผู้หญิงเนื่องจากการรับประทานยาคุมกำเนิดหรือใส่ห่วงคุมกำเนิดเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์ ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีได้
หากท่านกำลังใช้ยาฉีดอยู่ ห้ามใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
หากท่านมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ยาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ต้องการ ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงต่อไปนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่หากเกิดอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นหรือท่านมีข้อสงสัยใดๆควรกลับไปพบแพทย์ทันที
ก. ควรพบแพทย์ทันที หากมีอาการไม่พึงประสงค์ต่อไปนี้เกิดขึ้น
พบน้อย
พบน้อยมาก
ข.ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน
พบบ่อย
ค. อาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการข้างเคียงอื่นๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
หากใช้ยานี้เป็นเวลานาน แพทย์อาจนัดตรวจเลือดเป็นระยะ และต้องตรวจตาทุก 6 -12 เดือน
ยานี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระจายตัวของไขมันบริเวณต่าง ๆ ร่างกาย โดยมีไขมันเพิ่มบริเวณไหล่ คอ และรอบลำตัว แต่มีการสูญเสียไขมันบริเวณแขน ขาและใบหน้า ทำให้แขนขาเล็กลง แก้มตอบ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงตามปกติของยานี้
ยานี้อาจทำใ้ห้กล้ามเนื้อหัวใจตาย ให้พบแพทย์ทันทีหากมีอาการเจ็บหน้าอก ใจสั่น หัวใจเต้นผิดปกติ หรือสงสัยว่าเป็นโรคหัวใจ
**หากมีอาการชาหรือหมดความรู้สึกที่นิ้วมือ นิ้วเท้า หรือเท้า ให้แจ้งแพทย์ทันที
ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้
ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้
Abacavir, Abacavir, lamivudine, zidovudine, Amprenavir, Delavirdine, Efavirenz, Indinavir, Lamivudine, Lopinavir+ritonavir, Nevirapine, Ritonavir, Saquinavir, Tenofovir, Zidovudine
ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้
Divir tab (ไดเวอร์), Videx EC enteric-coated cap (ไวเดกซ์ แคปซูล)
ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว