อ่าน: 600
Ritonavir (ริโทนาเวียร์)
ยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) ใช้เป็นยาเดี่ยวหรือเป็นยาร่วมกับยาอื่น ๆ ในการรักษาภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (human immunodeficiency virus, HIV) ซึ่งไวรัสเอชไอวีจะทำให้เกิดโรคเอดส์หรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง (AIDS)
ยาริโทนาเวียร์ไม่สามารถรักษาหรือป้องกันภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องได้ แต่ยานี้จะช่วยชะลอการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสเอชไอวีและการเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องให้ช้าลงซึ่งอาจช่วยชะลอการเกิดอาการหรือปัญหาต่างๆเนื่องจากภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ยาริโทนาเวียร์ไม่สามารถป้องกันการแพร่เชื้อไวรัสเอชไอวีจากท่านไปสู่ผู้อื่นได้ ผู้ที่ได้รับยานี้ยังอาจเกิดปัญหาต่างๆที่มักเกิดจากภาวะติดเชื้อไวรัสหรือภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ในประเทศไทยมียา 2 รูปแบบคือ รูปแบบยาแคปซูลชนิดนิ่มและยาน้ำเชื่อมใสสำหรับรับประทาน
โปรดแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านเคยมีอาการผิดปกติใดๆหรือมีประวัติการแพ้ยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) รวมทั้งการมีประวัติเคยแพ้สารอื่น ๆ เช่น อาหาร สารกันเสียหรือสี เป็นต้น
ABCDX
รายการนี้จัดอยู่ในประเภท 'B' สำหรับสตรีมีครรภ์
จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายาไม่มีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่มีรายงานการศึกษาในมนุษย์ หรือ จากการศึกษาในสัตว์พบว่ายามีความเสี่ยงในการทำให้เกิดความผิดปกติของตัวอ่อนในครรภ์ แต่ไม่พบผลดังกล่าวจากการศึกษาในมนุษย์ ดังนั้น ยาที่จัดอยู่ในประเภทนี้สามารถใช้ในสตรีมีครรภ์ได้ค่อนข้างปลอดภัย
มีการศึกษาในสัตว์ทดลองพบว่ายาริโทนาเวียร์ทำให้น้ำหนักตัวของตัวอ่อนแรกเกิดน้อยลง อีกทั้งยังชะลอการคลอดให้ช้าลงด้วย แต่ไม่พบว่ายานี้จะทำให้เกิดตัวอ่อนพิการหรือวิรูป แต่ยังไม่มีการศึกษาผลของยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) ในสตรีมีครรภ์ จึงควรใช้ยานี้ด้วยความระมัดระวัง หากท่านกำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนจะตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยานี้
ยังไม่ทราบแน่ชัดว่ายาริโทนาเวียร์ (ritonavir) สามารถผ่านเข้าสู่น้ำนมของมนุษย์ได้หรือไม่
อย่างไรก็ตามในระหว่างที่มีภาวะติดเชื้อไวรัสเอชไอวีหรือมีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้ออาจแพร่ผ่านน้ำนมสู่ทารกที่ดื่มนมและทำให้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวีได้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงไม่ควรให้นมบุตร
มีการศึกษาการใช้ยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) ในเด็กที่มีอายุตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยใช้ขนาดยาในขนาดที่ให้ผลในการรักษา ผลการทดลองพบว่ายานี้ไม่ทำให้เกิดผลข้างเคียงหรือเกิดปัญหาใดๆที่แตกต่างจากที่เกิดในผู้ใหญ่
ยังไม่ทราบว่ายาริโทนาเวียร์ (ritonavir) ทำให้เกิดอาการข้างเคียง, ปัญหาใด ๆ ที่แตกต่างกันในผู้สูงอายุกับผู้ป่วยวัยอื่นหรือไม่ เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับการเปรียบเทียบการใช้ยาริโทนาเวียร์ในผู้สูงอายุกับวัยอื่น ๆ
ถึงแม้ว่ายาบางอย่างไม่ควรใช้ร่วมกัน ในบางกรณีที่มียาสองชนิดแตกต่างกัน อาจใช้ร่วมกันได้ถึงแม้ว่าอันตรกิริยาอาจเกิดขึ้นก็ตาม ในกรณีนี้แพทย์อาจปรับเปลี่ยนขนาดยาหรืออาจมีข้อควรระวังอื่นๆ ที่จำเป็น เมื่อท่านต้องการจะรับประทานยาริโทนาเวียร์
(ritonavir) ท่านต้องแจ้งบุคลากรทางการแพทย์หากท่านกำลังใช้ยาต่อไปนี้อยู่
- อะมิโอดาโรน (amiodarone)
- อะทอวาสแททิน (atorvastatin)
- บีไพรดิล (bepridil)
- คาร์บามาเซพีน (carbamazepine)
- เซริวาสแททิน (cerivastatin)
- ซิซาไพรด์ (cisapride)
- คลาริโทรไมซิน (clarithromycin)
- ไซโคสปอรีน (cyclosporine)
- เดซิพรามีน (desipramine)
- เดกซาเมทาโซล (dexamethasone)
- ไดดาโนซีน (didanosine)
- ไดซัลฟิแรม (disulfiram)
- เอฟาไวเรนซ์ (efavirenz)
- ฟลีเคไนด์ (flecainide)
- ฟีโลดิปีน (felodipine)
- อินดินาเวียร์(indinavir)
- อิทราโคนาโซล (itraconazole)
- คีโตโคลนาโซล (ketoconazole)
- ลอวาสแททิน (lovastatin)
- มิดาโซแลม (midazolam)
- เมเพอริดีน (meperidine)
- ยาเมทาโดน (methadone)
- ยาเมโทรนิดาโซล (metronidazole)
- ยาเนวิราปีน (nevirapine)
- ไนคาร์ดิปีน (nicardipine)
- ไนเฟดิปีน (nifedipine)
- พิโมไซด์ (pimozide)
- ฟีโนบาร์บิทอล (phenobarbital)
- เฟนิทอยน์ (phenytoin)
- โพรพาฟีโนน (propafenone)
- ควินิดีน (quinidine)
- ไรฟาบูติน (rifabutin)
- ไรแฟมพิน (rifampin)
- ซาควินาเวียร์(saquinavir)
- ซิลดีนาฟิล (sildenafil)
- ซิมวาสแททิน (simvastatin)
- ซิโลลิมัส (sirolimus)
- แทโครลิมัส (tacrolimus)
- ทีออฟิลลีน (theophylline)
- ไตรเอโซแลม (triazolam)
- สมุนไพรเซนต์จอห์นเวิร์ท (St.John’s Wort)
- วอร์ฟาริน (warfarin)
- ผลิตภัณฑ์ที่มีเออร์โกทามีนเป็นส่วนประกอบ (ergotamine-containing product) หรือยาที่อยู่ในกลุ่มนี้ เช่น ไดไฮโดรเออร์กทามีน (dihydroergotamine), เออร์โกโนวีน (ergonovine), ยาเมทิลเออร์โกโนวีน(methylergonovine)
- ยาคุมกำเนิดที่มีส่วนประกอบของแอสทีนิล เอสตราไดออล (ethinyl estradiol) หากใช้ร่วมกับยาริโทนาเวียร์อาจทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมกำเนิดลดลง ดังนั้นท่านควรเลือกวิธีการคุมกำเนิดอย่างอื่นร่วมด้วยขณะรับประทานยาสองชนิดนี้ร่วมกัน
ปัญหาความเจ็บป่วยอื่นที่ท่านเป็นอยู่อาจส่งผลต่อการรับประทานยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) ท่านควรแจ้งแพทย์หากท่านมีภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น
- โรคเบาหวาน
- โรคเลือดไหลไม่หยุดหรือโรคฮีโมฟีเลีย (hemophilia)
- โรคตับหรือปัญหาอื่นๆที่เกี่ยวกับตับ
- ควรรับประทานยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) พร้อมอาหาร
- ยานี้อาจทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ซึ่งอาจบรรเทาได้โดยการรับประทานอาหารครั้งละน้อย ๆ แต่รับประทานบ่อย ๆ หรือ อมลูกอม หรือเคียวหมากฝรั่ง
- ท่านต้องรับประทานยาริโทนาเวียร์ตามคำสั่งของแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามรับประทานในจำนวนที่มากกว่าหรือบ่อยกว่าที่แพทย์สั่ง รวมทั้งห้ามหยุดรับประทานยาเองหากแพทย์ไม่ได้สั่ง
- ควรดื่มน้ำมาก ๆ ประมาณ 2-3 ลิตรต่อวัน เว้นแต่แพทย์สั่งให้ท่านจำกัดการดื่มน้ำ
- ควรรับประทานยาให้ครบระยะเวลาในการรักษาแม้อาการของท่านจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
- ยาริโทนาเวียร์จะออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่อมีระดับยาในกระแสเลือดคงที่ เพื่อช่วยให้ระดับยาในกระแสเลือดคงที่ เพื่อช่วยให้ระดับยาในกระแสเลือดคงที่ ท่านต้องรับประทานยาอย่างสม่ำเสมอและตรงเวลา รวมทั้งควรเว้นระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งเท่า ๆ กัน เช่น หากท่านต้องรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งคือ 12 ชั่วโมง เป็นต้น หากท่านมีปัญหาเรื่องการวางแผนการรับประทานยา ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
- ท่านควรรับประทานเฉพาะยาที่แพทย์สั่ง รวมทั้งห้ามใช้ยานี้ร่วมกับผู้อื่น
สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานยาริโทนาเวียร์ในรูปแบบยาน้ำเชื่อมใสสำหรับรับประทาน
- ควรเขย่าขวดก่อนรับประทานยา
- ควรใช้อุปกรณ์ตวงยาที่ถูกต้องแม่นยำ เช่น กระบอกฉีดยาที่มีปริมาณบอกไว้ชัดเจน เป็นต้น เนื่องจากอุปกรณ์ตวงของเหลวที่ใช้ในครัวเรือนมักไม่มีความถูกต้องแม่นยำ
ขนาดยาของยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) อาจแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ควรรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ หรือ เภสัชกรหรือ ตามที่ระบุไว้บนฉลากยา
จำนวนครั้งของการรับประทานยาในแต่ละวัน, ระยะห่างของการรับประทานยาในแต่ละครั้งและระยะเวลาที่ท่านรับประทานยาขึ้นอยู่กับสภาวะโรคของท่านที่ท่านต้องรับประทานยาริโทนาเวียร์
หากท่านลืมรับประทานยาให้รีบรับประทานทันทีที่นึกได้ ถ้าใกล้ถึงมื้อต่อไปให้ข้ามมื้อที่ลืมและรับประทานยาต่อในมื้อถัดไปในขนาดยาปกติ โดยไม่ต้องเพิ่มขนาดยาเป็นสองเท่า
- เก็บให้พ้นมือเด็ก
- เก็บให้ห่างจากความร้อนและหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดดโดยตรง
- ห้ามเก็บยาไว้ในห้องน้ำ ใกล้อ่างล้างมือหรือที่ชื้น เนื่องจากความร้อนหรือความชื้นอาจเป็นสาเหตุให้ยาเสื่อมคุณภาพ
- ห้ามเก็บยารูปแบบยาน้ำเชื่อมใสในช่องแช่แข็ง
- ทิ้งยาเมื่อยาหมดอายุ
- ห้ามรับประทานยาอื่นโดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เนื่องจากการทำเช่นนั้นอาจเพิ่มโอกาสในการเกิดผลข้างเคียงจากยาริโทนาเวียร์ (ritonavir) หรือยาอื่น ๆได้มากขึ้น
- ยานี้อาจทำให้รู้สึกมึนงง นอนไม่หลับ จึงควรระมัดระวังในการใช้ หากต้องขับรถหรือทำงานที่ต้องการความระมัดระวังสูง จนกว่าจะทราบว่าท่านไม่มีปัญหาเหล่านี้
- ท่านควรมาพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อติดตามความเป็นไปของโรคและผลไม่พึงประสงค์จากยาที่อาจเกิดขึ้นได้โดยเฉพาะระดับน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นในกระแสเลือด
- ยาริโทนาเวียร์อาจลดผลของยาคุมกำเนิดบางชนิด ดังนั้นหากท่านต้องการคุมกำเนิดควรเลือกวิธีการคุมกำเนิดอย่างน้อย 2 วิธีเช่น ใส่ห่วงคุมกำเนิด เป็นต้น ในระหว่างที่รับประทานยานี้อยู่
ยาอาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงบางอย่างที่ไม่ต้องการ ถึงแม้ว่าอาการข้างเคียงต่อไปนี้อาจไม่ได้เกิดขึ้นทั้งหมด แต่หากเกิดอาการข้างเคียงขึ้นควรได้รับการรักษาที่เหมาะสม
ก.ควรพบแพทย์ทันที หากมีอาการข้างเคียงต่อไปนี้เกิดขึ้น
พบน้อย
- เป็นลม, หน้ามืด, วิงเวียนศีรษะ, ตัวร้อน, หน้าแดงหรือคอแดง, ปวดศีรษะ, เหนื่อยออก
พบน้อยมาก
- สับสน, กระหายน้ำมากขึ้น, ผิวแห้ง, มีอาการคันตามผิวหนัง, เหนื่อยล้า, ลมหายใจมีกลิ่นหอมหวาน, ความอยากอาหารเพิ่มขึ้น, ปัสสาวะมากขึ้น, คลื่นไส้, อาเจียน, น้ำหนักลด
อาจพบได้ (ไม่ทราบความถี่)
- เรอ, หนาวสั่น, ท้องผูก, ไอ, ปัสสาวะสีเข้มขึ้น, หายใจลำบาก, หัวใจเต้นเร็ว, มีไข้, มีผื่นลมพิษ คัน ขนาดใหญ่บริเวณใบหน้า เปลือกตา ริมฝีปาก ลิ้น คอ แขน ขา ฝ่าเท้าและอวัยวะเพศ, อาหารไม่ย่อย, ความอยากอาหารลดน้อยลง, หายใจมีเสียงดัง, ปวดบริเวณหน้าท้อง สีข้างหรือท้องน้อยและอาจปวดร้าวไปถึงหลัง, ผิวหนังมีสีแดง, หายใจถี่, มีผื่นตามผิวหนัง, แน่นหน้าอก, หายใจมีเสียงวี๊ด, ตัวเหลืองตาเหลือง
ข. ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรถ้าอาการข้างเคียงเหล่านี้เกิดขึ้นติดต่อกันนานหรือรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของท่าน
พบบ่อย
- ปวดท้อง, กรดเกินในกระเพาะอาหาร, ผิวซีด, รู้สึกแสบร้อน คัน ชาหรือมีความรู้เหมือนมีเข็มทิ่ม, ความสามารถในการรับรสผิดปกติไป, ท้องร่วง, วิงเวียนศีรษะ, แสบร้อนทรวงอก, ง่วงซึม, นอนไม่หลับ, หลับยาก, การนอนหลับผิดปกติไป, อ่อนเพลีย
พบน้อย
- มีลมหรือแก๊สในกระเพาะอาหาร, ปวดตามร่างกาย, คลุ้มคลั่ง, เชื่องช้า, เคลื่อนไหวลำบาก, หมดกำลังใจ, คอแห้งหรือเจ็บคอ, หวาดกลัว, เศร้า, รู้สึกไม่สบายตัว, ปัสสาวะบ่อยขึ้นตอนกลางคืน, ความอยากอาหารลดน้อยลง, ไม่สนใจสิ่งแวดล้อมหรือสิ่งใดๆ, อารมณ์และจิตใจเปลี่ยนแปลงไป, ปวดเกร็งกล้ามเนื้อ, กระวนกระวาย, ปวดข้อ, น้ำมูกไหล, ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต, ระคายเคืองคอ, เสียงเปลี่ยนไป
อาจพบได้(ไม่ทราบความถี่)
- มีตุ่มไขมันสะสมบริเวณใบหน้า, คอและหลัง
ค. อาการข้างเคียงอื่น ๆ นอกเหนือจากที่ระบุไว้อาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยบางราย หากท่านสังเกตเห็นอาการข้างเคียงอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร
ยานี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกระจายตัวของไขมันบริเวณต่าง ๆ ร่างกาย โดยมีไขมันเพิ่มบริเวณไหล่ คอ และรอบลำตัว แต่มีการสูญเสียไขมันบริเวณแขน ขาและใบหน้า ทำให้แขนขาเล็กลง แก้มตอบ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงตามปกติของยานี้
ยานี้จัดอยู่ในกลุ่มยาต่อไปนี้
ยานี้เกี่ยวข้องกับยาต่อไปนี้
Abacavir, Abacavir, lamivudine, zidovudine, Amprenavir, Delavirdine, Didanosine , Efavirenz, Indinavir, Lamivudine, Lopinavir+ritonavir, Nevirapine, Saquinavir, Tenofovir, Zidovudine
ยานี้มีชื่อทางการค้าต่อไปนี้
Norvir soft-gelatin cap (นอร์เวียร์), Rinavir soln (ไรนาเวียร์)
ข้อมูลนี้ไม่สมบูรณ์ ยานี้อาจจะยังมีชื่อทางการค้าอื่นที่ไม่ได้แสดงในนี้ หรือชื่อทางการค้าที่แสดงในนี้อาจจะไม่อนุญาตให้จำหน่ายแล้ว
- Micromedex Thomson Healthcare. Advice for the Patient Drug Information in Lay Language USP DI, volume ll. 25th ed. Massachusetts: Micromedex Thomson Healthcare, 2005: 1415-7.
- Klasco RK (Ed): DRUGDEX® System (electronic version). Thomson Micromedex, Greenwood Village, Colorado, USA. Available at: http://www.thomsonhc.com (cited: Dec 12, 2010).
- Sunthornraj N, Fun LF, Evangelista LF, Labandilo LD, Romano MB, Afable JO, et al. MIMs Thailand. 106th ed. Bangkok: MediMedia (Thailand); 2007.