รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี เป็นสำนวนที่มีผู้ปกครองหลายคนเข้าใจไปตามเนื้อความ นั่นคือ ตีเพราะรัก แต่แท้จริงแล้ว การลงโทษด้วยการตีก้น โดยเฉพาะกับเด็กเล็กอาจส่งผลร้ายตามมา
รายงานข่าวจาก Health กล่าวว่า เด็กอายุ 1 ปี ที่ถูกทำทษด้วยการตีก้นเป็นประจำ มักจะแสดงพฤติกรรมก้าวร้าวเมื่ออายุมากขึ้น
นักวิจัยจากศูนย์วางแผนด้านเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลันดุ๊ก กล่าวว่า ในช่วงอายุ 1 ปี เป็นช่วงเวลาสำคัญในการสร้างเสริมความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว ระหว่างพ่อแม่และเด็ก แต่การลงโทษเด็กด้วยการตีก้นในช่วงอายุนี้ จะส่งผลให้เด็กแสดงพฤติกรรมทางลบ และ แสดงความก้าวร้าวมากขึ้นเมื่อเด็กอายุ 2 ปี
หลายครอบครัวโดยเฉพาะในกลุ่มคนผิวสี ให้เหตุผลการลงโทษด้วยการตีว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาต้องการเตรียมความพร้อมให้เด็ก ให้สามารถออกไปเผชิญกับโลกที่โหดร้ายได้ และแม้ว่าในปัจจุบันการลงโทษดังกล่าวจะลดลง แต่ก็ยังมีบางครอบครัวที่มีความเชื่อ และปฏิบัติตามแนวทางที่พวกเขาเคยได้รับ
นักวิจัยยังได้ทำการวิจัยผลที่เกิดขึ้นจากการลงโทษด้วยคำพูด อาทิ การตำหนิ หรือ ดุด่า ผลปรากฏว่า การลงโทษด้วยคำพูดไม่ส่งผลกระทบต่อเด็กในทางลบ ถ้าพ่อแม่ใช้คำพูดด้วยความระมัดระวัง เป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความรัก และให้กำลังใจ
นักวิจัยกล่าวเพิ่มเติมว่า “จากการศึกษาพบว่า สิ่งที่ทำให้การลงโทษด้วยวิธีนี้ ส่งผลในทางลบก็คือ มันทำให้เด็กเกิดความก้าวร้าวมากขึ้น เหลวไหลมากขึ้น และมีปัญหาทางด้านจิตใจ ยิ่งตีเด็กมากเท่าใด ยิ่งทำให้เด็กต่อต้านพ่อแม่มากเท่านั้น แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเด็กทุกคนจะแสดงพฤติกรรมต่อต้าน แต่พวกเขามีความเสี่ยงที่จะเป็นอย่างนั้น”
ผศ. Elizabeth T. Gershoff จากภาควิชาการพัฒนามนุษย์และวิทยาศาสตร์ครอบครัว จากมหาวิทยาลัยเทกซัส ออสติน ได้แสดงความเห็นว่า นั่นเป็นเพราะเด็กพยายามเลียนแบบพฤติกรรมของผู้ปกครอง “มันเป็นการสร้างรูปแบบความก้าวร้าวแก่เด็ก การตีก้นเด็กก็คือการทำร้ายเด็กนั่นเอง”
“สิ่งหนึ่งที่ทำให้การลงโทษด้วยการตีไม่ดี ก็เพราะผู้ปกครองมักจะตีเด็ก โดยไม่บอกเหตุผล ในขณะที่ การใช้เหตุและผลเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยในด้านพัฒนาการของพวกเขา” ผศ.Gershoff กล่าวทิ้งท้าย
แม้ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ ถ้าทำอะไรโดยไม่มีเหตุผล ย่อมไม่ได้รับการยอมรับจากสังคม