หูด เป็นเนื้องอกชนิดธรรมดาของผิวหนัง เป็นโรคที่พบได้บ่อยมากในเด็กวัยเรียน ในผู้ใหญ่ก็เป็นได้ แต่จะพบได้น้อยในคนอายุมากกว่า 45 ปีขึ้นไปหูดมีหลายชนิด อาจมีขนาดแตกต่างกันไป ขึ้นกับตำแหน่งที่เป็น อาจขึ้นเดี่ยว ๆ หรือหลายอันก็ได้มักขึ้นที่มือ เท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า ฝ่ามือฝ่าเท้า อาจขึ้นตามผิวหนังส่วนอื่น ๆ รวมทั้งที่อวัยวะเพศ หูดเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายแต่อย่างไร นอกจากทำให้แลดูน่าเกลียดน่ารำคาญ หรืออาจมีอาการปวดได้เป็นบางครั้ง ส่วนมากจะยุบหายได้เองตามธรรมชาติ (แม้จะไม่ได้รับการรักษา) ภายหลังที่เป็นอยู่หลายเดือน บางคนอาจเป็นอยู่เป็นปี ๆ กว่าจะยุบหาย เมื่อหายแล้วอาจกลับเป็นใหม่ได้อีก
เป็นโรคติดเชื้อไวรัสตระกูล Papillomavirus ที่ผิวหนังและเยื่อบุ เชื้อนี้ทำให้เกิดตุ่มนูนที่เรียกว่า Papilloma จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Humanpapilloma virus (HPV) เพราะก่อโรคในคนเท่านั้น HPV ที่เป็นต้นเหตุของโรคหูดมีมากกว่า 150 ชนิดแต่ละชนิดทำให้เกิดตุ่มที่ผิวหนังแตกต่างกัน
หูดชนิดพบเห็นทั่วไป เรียกว่า common warts จะมีลักษณะเป็นตุ่มกลมแข็ง ผิวหยาบ ออกเป็นสีเทา ๆเหลือง ๆ หรือน้ำตาล ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2-10 มิลลิเมตร มักจะขึ้นตรงบริเวณที่ถูกเสียดสีง่าย (เช่นนิ้วมือ นิ้วเท้า ข้อศอก ข้อเข่า ใบหน้า หนังศีรษะ เป็นต้น) และอาจแพร่กระจายไปยังส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย หูดที่เป็นที่ฝ่ามือฝ่าเท้าจะมีลักษณะเป็นไตแข็ง ๆ หยาบๆ แต่จะแบนราบเท่าระดับผิวหนังที่ปกติ เพราะมีแรงกดขณะเดินใช้งาน ลักษณะคล้าย ๆ ตาปลา แต่จะแยกกันได้ตรงที่หูดถ้าใช้มีดฝานอาจมีเลือดไหลซิบ ๆ และอาจมีอาการเจ็บปวดได้ หูดที่เป็นติ่ง (Filiform warts) จะมีลักษณะเป็นติ่งเนื้อเล็ก ๆ ขึ้นที่หนังตา ใบหน้า ลำคอ หรือริมฝีปาก
การติดเชื้อหูดแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
1.โรคหูดที่ผิวหนังที่ไม่ใช่หูดที่อวัยวะเพศ ได้แก่
หูดแบนราบ (Flat or Plane warts) เป็นที่เป็นตุ่มแบนราบ ขนาด 2-4 มม. พบกระจายอยู่ที่หน้า แขน ขา ตุ่มหูดมักไม่มีอาการใดๆ อาจมีขุยเล็กน้อย ตุ่มหูดที่หน้าและคอบางครั้งยื่นออกไปเหมือนกิ่งไม้เล็กๆ ขนาด 1-2 มม. เรียกหูดชนิดนี้ว่า Filiform warts
หูดสามัญ (Common warts) หูดชนิดนี้พบเป็นก้อนนูนเดี่ยวๆหรืออยู่กันเป็นกลุ่ม ผิวของก้อนมีลักษณะเป็นหนาม ขรุขระ เกิดบริเวณใดของผิวหนังก็ได้ พบบ่อยตามแขนขา หลังมือ นิ้วมือมีขนาด 1มม.-1 ซม.
หูดรอบจมูก เล็บ (Periungual and subungual wart) เป็นตุ่มหรือก้อนผิวขรุขระที่รอบจมูกเล็บหรืออยู่ใต้เล็บ เป็นหูดที่รักษาให้หายขาดยากมีอัตราการกลับเป็นซ้ำสูง เพราะโครงสร้างของพื้นเล็บเป็นรอนๆเชื้อหูดจึงหลบซ่อนอยู่ได้
หูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้า(Palmar and plantar warts) ตุ่มหรือก้อนหูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้ามักโตยื่นลงไปในเนื้อผิวหนังเพราะถูกกดทับจากการยืนเดิน ถ้าก้อนหูดกดประสาททำให้เกิดอาการเจ็บ ปวดได้ ตุ่มหูดที่ฝ่ามือฝ่าเท้าขนาดเล็กอาจรวมตัวกันเป็นปื้นใหญ่เรียกว่า Mosaic warts
2.โรคหูดที่อวัยวะเพศ (Anogenital warts) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างหนึ่ง ลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ เป็นก้อนนูนรูปร่างคล้ายหงอนไก่ (Condyloma accuminata) เกิดที่บริเวณอวัยวะเพศของผู้ชายและผู้หญิง ในผู้ชายหูดเป็นก้อนนูนคล้ายหงอนไก่ที่หนังหุ้มปลาย Corona glandes องคชาติ รอบทวารหนัก บางครั้งพบในท่อปัสสาวะด้วยเรียกว่า urethral warts สำหรับผู้หญิงจะพบหูดที่ปากช่องคลอด ผนังช่องคลอด ปากมดลูก และรอบทวารหนัก
เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า เอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ซึ่งมีประมาณ 70 ชนิด เมื่อเชื้อไวรัสแทรกซึมเข้าไปในเซลล์ผิวหนัง ก็จะเกิดการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นหูดงอกออกจากผิวหนังส่วนที่ปกติหูดสามารถติดต่อโดยการสัมผัสถูกคนที่เป็นหูดโดยตรง ระยะฟักตัว 2-18 เดือน
แพทย์สามารถวินิจฉัยได้จากการดูลักษณะของโรคที่เป็นว่าเหมือนกับโรคหูดหรือไม่ แต่ในบางครั้งอาจต้องขูดบริเวณผิวของตุ่มเพื่อที่จะหาเส้นเลือดที่ถูกอุดตัน(clotted blood vessels) แต่ถ้าแพทย์ยังไม่สามารถวินิจฉัยได้อาจต้องนำตัวอย่างของตุ่มไปทำการวิเคราะห์เพื่อช่วยในการวินิจฉัยได้
HPV บางชนิดเป็นสาเหตุของมะเร็ง เช่น HPV ชนิด 16, 18 ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูก HPV ส่วนใหญ่ไม่ทำให้เกิดมะเร็งที่ผิวหนัง
หลักการดูแลรักษาหูดที่ผิวหนังคือทำลายผิวหนังที่มีเชื้อไวรัสออกให้หมด วิธีที่ใช้อยู่มีดังนี้: ใช้สารเคมี ไฟฟ้า Ellman ความเย็น หรือ คาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์
การพิจารณาเลือกวิธีการรักษาหูดขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้
1.อายุผู้ป่วย เช่น เด็ก อาจไม่จำเป็นต้องให้การรักษาเพราะ 2 ใน 3 ของผู้ป่วยหูดจะหาย ไปเองในระยะเวลา 2 ปี
อย่างไรก็ตามาผู้ปกครองบางรายอาจมีความกังวล ซึ่งจริงๆแล้วหูดไม่มีอันตรายอะไร แต่การรักษาอาจทำให้เกิดความเจ็บปวดและเกิดแผลเป็นได้ จึงน่าจะติดตามดูอาการรอเวลาให้ตุ่มหูดหายเองจากประสบการณ์ผู้ปกครองส่วนใหญ่มักขอให้รักษาโรคหูดให้หายไปโดยเร็ว
2.หูดเป็นมากน้อยเพียงใด เป็นมานานเท่าใด ตำแหน่งที่เป็น หูดที่เป็นมากและเป็นมานานไม่หายไปเองหรือเป็นในตำแหน่งที่ผิวหนังมีเคอราตินหนาควรพิจารณาให้การรักษาด้วยยาทาที่มีกรดเป็นส่วนผสม จี้ความเย็น ไฟฟ้าหรือ Ellman
3.ความต้านทานของผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีความต้านทานไม่ดี เช่น รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน เป็นโรคติดเชื้อ HIV ควรรีบให้การรักษาด้วยยาทา หรือ ใช้ความเย็น การใช้ไฟฟ้าหรือเลเซอร์เผาหูดต้องระวังควันที่เกิดจากการจี้หูดเพราะมีการศึกษาแล้วพบ เชื้อไวรัส HIV อยู่ในควันไฟ ผู้ที่จะใช้เทคนิกดังกล่าวต้องใส่หน้ากากหรือ Mask กรองควันไฟที่มีเชื้อปนเปื้อน
4.ความต้องการของผู้ป่วย หูดบางชนิดมีขนาดเล็ก เช่น หูดแบนราบ ผู้ป่วยไม่มีความเดือดร้อนก็อาจไม่ต้องให้การรักษา
5.เครื่องมือที่มีอยู่ และความชำนาญของแพทย์ผู้รักษา
สารเคมีที่ใช้รักษาหูด มีหลายชนิดดังนี้
1. กรดชนิดต่างๆ กรดที่ใช้รักษาหูดได้แก่ salicylic acid และ lactic acid ในประเทศไทยมียาสำเร็จรูปที่มีขายอยู่คือ
2. สารเคมีที่มีฤทธิ์กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน (Immune response modifying agent) สารเคมีกลุ่มนี้ที่มีขายในประเทศไทยคือ immiquimod cream
การใช้ยาทารักษาหูดมีข้อสังเกตดังนี้
1. การรักษาด้วยวิธีนี้เจ็บน้อย ได้ผลช้า ต้องการความเข้าใจและร่วมมือของผู้ป่วยและญาติ หูดในบริเวณฝ่าเท้าที่มีเคอราตินหนา ควรต้องฝานเคอราตินออกด้วยใบมีดเบอร์ 30 ก่อนที่จะทายาเพราะยาที่ทาจะพอกอยู่บนผิวของก้อนหูดทำให้กรดไม่สามารถซึมลงไปกัดเนื้อหูดที่อยู่ส่วนลึกได้
2. นัดติดตามผลทุก 1-2 สัปดาห์เพื่อดูว่าก้อนหูดยุ่ย และหลุดลอกออกหรือไม่ ถ้าพบว่าเคอราตินยังหนาก็ให้ฝานเอาเนื้อหูดส่วนบนๆออกอีก ทำเช่นนี้หลายครั้งก้อนหูดจะถูกดันให้ตื้นขึ้นแล้วลอกหลุดไป
3. ยากลุ่ม Immune response modifying agent เช่น immiquimod ครีม ใช้รักษาหูดที่อวัยวะเพศและรอบทวารหนักได้ผลดี ส่วนหูดผิวหนัง เช่น ที่มือ แขน ขา ได้ผลไม่ดีเพราะผิวหนังบริเวณนี้มีเคอราตินหนา ยาซึมเข้าสู่ผิวหนังได้น้อย
การจี้ด้วยไฟฟ้า(electrodesication) เป็นวิธีที่ใช้รักษาหูดที่ได้ผลดี เครื่องมือราคาถูก หูดที่ฝ่าเท้าถ้าจะใช้วิธีนี้ต้องระวังอย่างใช้ไฟฟ้าทีมีพลังงานสูงเพราะอาจทำให้เกิดแผลเป็น ในตำราโรคผิวหนังทั่วไปแนะนำไม่ให้ใช้วิธีนี้เพราะอาจเกิดแผลเป็นที่ฝ่าเท้า ถ้าจะใช้วิธีนี้ให้ใช้ไฟฟ้าที่ไม่แรงมากจี้ที่ขอบของก้อนหูดแล้วใช้กรรไกโค้งปลายแหลมตัดตามรอยที่จี้ไฟฟ้าไว้แล้วเลาะเอาก้อนหูดออก ใช้ Currete ขูดที่พื้นแผลที่ยกก้อนหูดออกไปให้เกลี้ยง ใช้กรรไกรโค้งปลายแหลมตัดขอบผิวหนังที่อยู่รอบหูดออกเพื่อกำจัดผิวหนังที่อาจมีเชื้อไวรัสอยู่ออกพบว่าได้ผลดี
การจี้ด้วยความเย็น เป็นวิธีรักษาหูดที่ได้ผลดีอาจใช้ไม้พันสำลีจุ่มไนโตรเจนเหลวที่ให้ความเย็น -196 C จี้ลงที่ก้อนหูด หรือ ใช้ Spray canister เป็นกระป๋องบรรจุไนโตรเจนเหลวที่มีหัวพ่นพ่นที่ก้อนหูดจนเห็นเป็นสีขาวนาน 5-25 วินาที มักต้องนัดมาทำซ้ำใน1-2 สัปดาห์ถัดไป อย่างไรก็ตามการใช้ไนโตรเจนเหลวมีข้อดีเพราะสามารถใช้รักษาผู้ป่วยโรคหูดที่มีการติดเชื้อHIVร่วมด้วยได้ ไม่ทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของควันที่มีเชื้อไวรัส HIV อยู่เหมือนเครื่องจี้ไฟฟ้าและแสงเลเซอร์
การรักษาด้วยคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ จะไม่กล่าวถึงในที่นี้เพราะเครื่องมือมีราคาแพงเหมาะที่จะมีใช้ในหน่วยงานที่มีผู้ชำนาญทางด้านนี้
การดูแลรักษาหูดที่อวัยวะเพศและรอบทวารหนักหรือหูดหงอนไก่(Anogenital warts) หูดชนิดนี้มีความพิเศษที่ ตอบสนองดีต่อ 25% Podophyllin in tincture benzoin ทายานี้ที่ตุ่มหูดจะทำให้ตุ่มยุบลงได้ใน 1-2 สัปดาห์ทั้งนี้ขึ้นกับระบบภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย เทคนิคในการทายานี้คือ ระวังไม่ให้ยาสัมผัสผิวหนังปกติเพราะอาจเกิดผื่นระคายสัมผัส แนะนำให้ทาขี้ผึ้งวาสลินบนผิวหนังปกติรอบตุ่มหูดก่อนทายา Podophyllin เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผื่นระคายสัมผัส ผู้ป่วยไม่ควรนำยา 25% Podophyllin กลับไปทาเองที่บ้านเพราะผู้ป่วยอาจทายามากเกินจนเกิดผลข้างเคียง
มียาทารุ่นใหม่คือ Purified podophyllotoxin ที่มีความเข้มข้นของตัวยาแน่นอน ระคายผิวหนังน้อยสามารถนำไปทาเองที่บ้านได้ แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากยานี้มีปริมาณการใช้ไม่มากจึงยังไม่มีบริษัทยานำเข้ายานี้มาขายในประเทศไทย
ยากลุ่ม immunoresponse modifier คือ 5% Immiquimod cream ใช้รักษาหูดหงอนไก่ได้ผลดี วิธีทายานี้ให้ทายาลงบนก้อนหูดให้ทั่วก่อนนอนสัปดาห์ละ 3 วัน หูดจะยุบใน 8-10 สัปดาห์ อัตราการกลับเป็นโรคซ้ำลดลง เหลือเพียงร้อยละ 13
ข้อแนะนำ
ยาที่ใช้บ่อย Podophyllin, Salicylic acid, Lactic acid, Immiquimod cream
1.อภิชาติ ศิวยาธร, กนกวลัย กุลทนันทน์ บรรณาธิการ. โรคผิวหนังต้องรู้ : สำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. 2545, 83-85.
2.ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2010 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2548, 231-234.