Electrolytes
อิเล็กโทรไลต์
Electrolyte Panel
Electrolytes
Sodium, Potassium, Chloride, Bicarbonate (or total CO2), CMP, BMP
อิเล็กโทรไลต์ คือคือ สารที่เมื่ออยู่ในตัวทำละลายเช่นในน้ำ จะแตกตัวเป็นประจุหรือไอออน (ion) ประเภทที่มีประจุบวก (cation) ได้แก่โซเดียม (Na+), โปตัสเซียม (K+), แมกนีเซียม (Mg2+), แคลเซียม (Ca2+), ประเภทที่มีประจุลบ (anion) ได้แก่คลอไรด์ (Cl-), ไบคาร์บอเนต (HCO3-), ฟอสเฟต, ซัลเฟต, แลคเตต (lactate), ไพรูเวต (pyruvate), อะซีเตต (acetate) และโปรตีน (protein)
ในภาวะปกติเลือดจะประกอบด้วย น้ำ 93% และอีก 7% เป็นของแข็งที่ประกอบด้วย อิเล็กโทรไลต์ โปรตีน และไขมัน สารที่ละลายน้ำแล้วไม่ให้ประจุไฟฟ้าจะไม่เรียกว่าอิเล็กโทรไลต์ ได้แก่ กลูโคส, โปรตีนและไขมัน ส่วนโปรตีนเป็นตัวสำคัญที่จะอุ้มน้ำไว้ในหลอดเลือด ในภาวะปกติโปรตีนในเลือดมีโมเลกุลใหญ่ไม่สามารถผ่านผนังเซลล์เข้าไปอยู่ในเซลล์ได้ แต่ถ้าสามารถแตกตัวเป็นประจุไฟฟ้าได้ โปรตีนในเลือดที่สำคัญ ได้แก่อัลบูมิน (albumin), โกลบูลิน (globulin) และไฟบริโนเจน (fibrinogen)
อิเล็กโทรไลต์มีการกระจายตัวไม่สม่ำเสมอในแต่ละส่วนของร่างกาย ซึ่งบางชนิดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างอิสระ แต่บางชนิดมีขอบเขตจำกัดในการแลกเปลี่ยน น้ำภายในเซลล์และภายนอกเซลล์จะมีอิเล็กโทรไลต์คล้ายกันแต่มีปริมาณแตกต่างกัน อิเล็กโทรไลต์บางชนิดมีความสำคัญกับน้ำนอกเซลล์ บางชนิดมีความสำคัญกับน้ำในเซลล์ ดังนี้คือ น้ำนอกเซลล์มี โซเดียม เป็นประจุบวก (cation) และคลอไรด์ เป็นประจุลบ (anion) ที่สำคัญ น้ำภายในเซลล์จะมีโปแตสเซียมเป็นประจุบวก (cation) และ ฟอสเฟตเป็นประจุลบ (anion) ที่สำคัญ น้ำระหว่างเซลล์และพลาสม่าเป็นน้ำที่อยู่ภายนอกเซลล์จะมีส่วนประกอบต่างๆ ใกล้เคียงกัน แต่ที่มีความแตกต่างกันมากคือ โปรตีน ในพลาสม่ามีโปรตีนมากส่วนน้ำระหว่างเซลล์มีโปรตีนน้อย เนื่องจากว่าโปรตีนที่อยู่ในพลาสม่าเป็นสารที่มีโมเลกุลใหญ่ จึงไม่สามารถผ่านผนังของหลอดเลือดหรือออกมาได้เพียงเล็กน้อย
อิเล็กโทรไลต์มีความสำคัญอย่างยิ่งในขบวนการเผาผลาญ (metabolic process) ทุกชนิด โดยมีหน้าที่
ระดับของอิเล็กโทรไลต์ที่ผิดปกติชี้บ่งความผิดปกติภายในร่างกาย ร่างกายจะรักษาดุลของอิเล็กโทรไลต์โดยจัดการส่วนที่ได้รับเข้าไปในร่างกายกับส่วนที่ขับออกจากร่างกายให้มีปริมาณเท่ากัน โดยส่วนใหญ่ร่างกายได้รับอิเล็กโทรไลต์จากอาหารซึ่งประกอบด้วยแร่ธาตุต่างๆ แล้วดูดซึมเข้าสู่ระบบทางเดินอาหาร และมีการขับถ่ายอิเล็กโทรไลต์ส่วนเกินออกได้ 3 ทางใหญ่ ๆ คือ ทางไต เป็นทางที่ขับออกมากที่สุด ทางระบบทางเดินอาหาร และทางผิวหนัง
ในภาวะปกติ ไตจะทำหน้าที่ในการควบคุมความสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ โดยอาศัยฮอร์โมนต่าง ๆ คือเรนิน-แองจิโอเทนซิน (rennin-angiotensin), อัลโดสเตอโรน (aldosterone) และแอนตี้ไดยูเรติกฮอร์โมนหรือเรียกว่าเอดีเอช (antidiuretic hormone: ADH) ดังนั้นการตรวจอิเล็กโทรไลต์ในสารน้ำของร่างกายจึงมีความสำคัญทางคลินิก
การสั่งตรวจอิเล็กโทรไลต์ทางเคมีคลินิก หมายถึงการวิเคราะห์ 4 ชนิดคือโซเดียม (Na+), โปตัสเซียม (K+), คลอไรด์ (Cl-)และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เนื่องจากเป็นไอออนที่สำคัญในร่างกาย ซึ่งเป็นอิเล็กโทรไลต์ส่วนใหญ่ในสารน้ำในเซลล์ (intracellular fluid: ICF) และสารน้ำนอกเซลล์ (extra cellular fluid: ECF)
เหตุที่นิยมตรวจทั้งสี่ชนิด เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของอิเล็กโทรไลต์ชนิดใดชนิดหนึ่งมีผลทำให้อิเล็กโทรไลต์ชนิดอื่นเปลี่ยนแปลงด้วย เพื่อให้เกิดความสมดุลทางประจุ
การสั่งตรวจอิเล็กโทรไลต์เป็นส่วนหนึ่งของการทดสอบประจำที่ใช้ในการวินิจฉัยเมื่อผู้ป่วยมีอาการเช่น บวม, คลื่นไส้, อ่อนแรง, มีอาการสับสน, หัวใจเต้นผิดปกติ และถูกใช้บ่อยในการสั่งตรวจซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บป่วยเฉียบพลันหรือเรื้อรัง และช่วงเวลาปกติเมื่อผู้ป่วยมีโรค หรือใช้ยาที่มีผลต่อสมดุลของอิเล็กโทรไลต์ ส่วนใหญ่การตรวจอิเล็กโทรไลต์ใช้เพื่อติดตามการรักษา รวมทั้งโรคความโลหิตสูง ภาวะหัวใจล้มเหลว โรคตับและโรคไต
เจาะเลือดจากเส้นเลือดดำที่แขน
ห้องปฏิบัติการเคมีคลินิก