Acid fast bacillus stain
การย้อมสีแอซิดฟาสต์แบคทีเรีย
Acid-fast bacillus smear
Acid fast stain, AFB Stain
TB skin test, Bacterial wound culture
เอเอฟบี (Acid-fast bacilli -AFB) เป็นเชื้อแบคทีเรียรูปร่างเป็นแท่งที่สามารถดูได้จากกล้องจุลทรรศน์หลังจากการย้อมสีตัวอย่างตรวจที่นำมาไถสไลด์ ซึ่งเรียกว่า เอเอฟบีสเมียร์ การย้อมสี Acid fast bacilli นี้เป็นการตรวจวินิจฉัยเชื้อในขั้นตอนแรก เชื้อในกลุ่มนี้ที่พบบ่อยที่สุดคือ ไมโคแบคทีเรีย (Mycobacterium) โดย Mycobacterium tuberculosis ซึ่งเป็นสาเหตุของวัณโรคเป็นเชื้อที่พบบ่อยที่สุดและแพร่เชื้อได้มากที่สุด สิ่งตรวจที่ส่งมาย้อม AFB และเพาะเชื้อส่วนใหญ่เป็นเพราะแพทย์สงสัยว่ามีการติดเชื้อวัณโรค
การพบ AFB ในเสมหะพร้อมๆกับการที่ผู้ป่วยมีประวัติว่า มีอาการไอ น้ำหนักลด และพบจุดจากการ X- ray ทรวงอก ช่วยในการประเมินได้ว่าผู้ป่วยกำลังมีอาการของวัณโรคอยู่ การย้อมสี Acid fast bacilli นี้ยังมีประโยชน์ในการติดตามการตอบสนองต่อการรักษาในผู้ป่วย หลังจากที่ได้รับยาต้าน mycobacterium หากการเพาะเชื้อจากผู้ป่วยไม่ขึ้น แต่ผลการย้อม AFB ยังให้ผล Positive อยู่ จึงคาดว่าผู้ป่วยยังคงมีเชื้ออยู่ในร่างกาย
การย้อมสเมียร์ AFB ส่วนใหญ่จึงทำเพื่อตรวจว่ามีการติดเชื้อ Mycobacterium tuberculosis อยู่หรือไม่ หรือติดเชื้อจากเชื้ออื่นในกลุ่มนี้หรือมีอาการที่เหมือนวัณโรคเพราะสาเหตุอื่น
ในบรรดา mycobacteria กว่า 60 ชนิดนั้นมีเพียงไม่กี่ชนิดที่ก่อให้เกิดโรคในคน นั่นคือ
การสเมียร์เพื่อย้อม AFB ควรทำหลายๆแผ่นในการคัดกรอง AFB เพราะจำนวนของเชื้ออาจแตกต่างกันในแต่ละวัน หากพบเชื้อในแผ่นใดก็ตาม บ่งบอกว่าน่าจะมีการติดเชื้อ mycobacteria โดยส่วนใหญ่จะเป็น M.tuberculosis จึงพอจะประเมินได้ว่าเป็นวัณโรค แต่ต้องมีการทดสอบยืนยันว่าผลสเมียร์บวกนั้นเป็นวัณโรคหรือเป็น mycobacteria ชนิดอื่น
ตัวอย่างตรวจที่นำมาสเมียร์จะมีการเพาะเชื้อในเวลาเดียวกัน การเพาะเชื้อเป็นการทำให้เชื้อเจริญในห้องปฏิบัติการ ตัวอย่างตรวจที่เป็นสารน้ำจากร่างกายหรือชิ้นเนื้อจะมีการทำลายการปนเปื้อนจากแบคทีเรียในทางเดินหายใจก่อน แล้วมีการย่อยละลายเมือกและทำให้เข้มข้นขึ้นเพื่อเพิ่มจำนวนเชื้อ ก่อนที่จะใส่ลงในสารอาหารเลี้ยงเชื้อและนำไปเพาะเชื้อ เนื่องจาก mycobacteria เป็นเชื้อที่โตช้าโดยใช้เวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ การจะยืนยันว่าไม่มีเชื้อขึ้นอาจต้องรอถึง 6-8 สัปดาห์
เมื่อมีอาการเช่น การไอเรื้อรัง น้ำหนักลด มีไข้หนาวสั่นและอ่อนเพลีย ซึ่งอาจเกิดได้จากวัณโรคหรือการติดเชื้อไมโคแบคทีเรียชนิดอื่น หรือเมื่อแพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยกำลังติดเชื้อวัณโรค หรือเมื่อต้องการติดตามผลของการให้ยารักษาวัณโรค
ปกติจะเก็บตัวอย่างเสมหะในช่วงเช้าเป็นเวลา 3 ครั้ง (วันละครั้ง ติดต่อกัน 3 วัน) หากไม่มีเสมหะอาจใช้วิธีเก็บผ่านการส่องกล้องหลอดลม (bronchoscopy) ในเด็กอาจใช้การล้างกลั้วคอ (gastric washing) และหากมีข้อบ่งชี้อาจมีการเก็บตัวอย่างจากปัสสาวะ น้ำไขสันหลังหรือสารน้ำจากในร่างกายอื่นๆ หรือชิ้นเนื้อเพื่อทำการเพาะเชื้อด้วย
ห้องปฏิบัติการจุลชีววิทยา