 |
ABO Grouping and Rh Typing
การตรวจหมู่เลือดระบบ ABO และระบบ Rh
ABO Grouping and Rh Typing
Blood Typing and Screening
Direct antiglobulin test, Indirect antiglobulin test, Compatibility testing, Crossmatch, Antibody identification; HLA testing
เพื่อหาว่าหมู่เลือดและชนิดของ Rh เป็นชนิดใด และหมู่เลือดหรือส่วนประกอบของเลือดชนิดใดที่เราจะรับได้อย่างปลอดภัย เป็นสิ่งที่สำคัญมากเมื่อมีการให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด ที่มั่นใจว่ามีความเข้ากันได้ ทั้งหมู่เลือด ABO และ Rh ของผู้รับและเลือดที่ได้รับ หากมีการให้เลือดที่ผู้รับมีแอนติบอดี้ต่อแอนติเจนของหมู่เลือดที่ต่างกัน จะเกิดปฏิกิริยาในร่างกายที่อาจทำให้ถึงแก่ชีวิตได้ เช่น ผู้ที่มีเลือดหมู่โอ ซึ่งมีแอนติบอดี้ต่อทั้ง A และ B หากได้รับเลือดกลุ่ม A, B หรือ AB จะเกิดปฏิกิริยาทำลายเม็ดเลือดแดง จนทำให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่มีอันตรายได้
ในกรณีของหมู่ Rh หากผู้ที่มีหมู่ Rh ลบได้รับเลือดที่เป็น Rh บวกในครั้งแรกจะยังไม่มีผลร้ายแต่อย่างใด แต่ร่างกายจะสร้างแอนติบอดี้ต่อเลือด Rh บวก ดังนั้นในครั้งต่อไป หากได้รับเลือด Rh บวก ก็จะมีผลให้เกิดปฏิกิริยาที่ร้ายแรงได้
การตรวจหมู่เลือด Rh มีความสำคัญในระหว่างการตั้งครรภ์ เพราะมารดาและทารกในครรภ์อาจมีความแตกต่างกันได้ เช่น มารดาเป็นหมู่ Rh ลบแต่บิดาเป็นหมู่ Rh บวก ทารกอาจมีโอกาสเป็น Rh บวกได้ ดังนั้นร่างกายของมารดาอาจสร้างแอนติบอดี้ต่อ Rh แอนติเจน หากแอนติบอดี้ผ่านเข้าไปในรก อาจไปทำลายเม็ดเลือดแดงของทารกได้จะเกิดภาวะที่เรียกว่า ภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด (hemolytic disease of the fetus and newborn) เพื่อป้องกันการสร้างแอนติบอดี้ต่อ Rh มารดาที่มีเลือด Rh ลบจะได้รับการฉีด Rh อิมมูนโกลบูลินในระหว่างตั้งครรภ์และอีกครั้งหลังคลอดหากทารกเป็น Rh บวก Rh อิมมูนโกลบูลินจะไป “ซ่อน” Rh แอนติเจนของทารกที่มารดาอาจจะพบในระหว่างตั้งครรภ์และระหว่างการคลอด และป้องกันมารดาจากการกระตุ้นให้เกิดการสร้างแอนติบอดี้ต่อ Rh แอนติเจน
เมื่อต้องมีการเปลี่ยนถ่ายเลือดหรือส่วนประกอบของเลือด หรือเมื่อมีการบริจาคเลือด ในหญิงตั้งครรภ์จะตรวจเพื่อดูความเสี่ยงของความไม่เข้ากันของหมู่ Rh ระหว่างมารดาและทารกในครรภ์ การตรวจหมู่เลือดและชนิดของ Rh ทำในเลือดที่ได้รับการบริจาคทั้งหมด และตรวจในผู้ป่วยที่ต้องการการถ่ายเลือดทุกราย รวมทั้งในรายที่ต้องรักษาด้วยการให้เลือดหรือส่วนประกอบของเลือด ดังนี้
• ภาวะเลือดจางอย่างรุนแรงและสภาวะที่ทำให้เกิดเลือดจาง เช่น sickle-cell disease และธาลัสซีเมีย
• ผู้ป่วยผ่าตัดที่มีเลือดออกภายในหรือมีเลือดออกหลังผ่าตัด
• ผู้ป่วยบาดเจ็บและเสียเลือดมาก
• ผู้ป่วยมะเร็งและผลจากการทำเคมีบำบัด
• ความผิดปกติที่มีเลือดออกผิดปกติ เช่น ฮีโมฟีเลีย
เลือดที่เจาะจากเส้นเลือดดำที่แขนหรือเจาะจากปลายนิ้วหรือส้นเท้า (ในเด็กแรกเกิด)
เว็บสุขภาพ | ดูแลสุขภาพ | การใช้ยา | อาการโรคภัย | สมุนไพรรักษาโรค
