ลูกจันทน์เทศ หรือ โร่วโต้วโค่ว คือ เนื้อในเมล็ดที่ทำให้แห้งของพืชที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myristica fragrans Houtt. วงศ์Myristicaceae [1]
ลูกจันทน์เทศ (ภาคกลาง); ลูกจันทน์บ้าน (ภาคเหนือ) [2]
โร่วโต้วโค่ว (จีนกลาง), เหน็กเต่าโข่ว (จีนแต้จิ๋ว) [1]
Nutmeg [1]
Semen Myristicae [1]
เก็บเกี่ยวผลแก่จัดในฤดูใบไม้ผลิและฤดูใบไม้ร่วง แยกเอาเปลือกผลและเปลือกหุ้มเมล็ดเทียมทิ้ง กะเทาะเอาเปลือกแข็งที่หุ้มเมล็ดออก เอาเฉพาะเนื้อในเมล็ดมาแช่น้ำปูนใสทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วนำมาปิ้งโดยใช้ระดับไฟปานกลาง ปิ้งจนแห้ง เก็บรักษาไว้ในที่มีอากาศเย็นและแห้ง มีการระบายอากาศดี [3]
การเตรียมตัวยาพร้อมใช้มี 4 วิธี ดังนี้
วิธีที่ 1 ลูกจันทน์เทศ เตรียมโดยนำวัตถุดิบสมุนไพรที่ปราศจากสิ่งปนปลอม มาล้างน้ำให้สะอาด ตากแดดให้แห้ง ทุบให้แตกก่อนใช้ [4]
วิธีที่ 2 ลูกจันทน์เทศคั่วรำข้าวสาลี เตรียมโดยนำรำข้าวสาลีและตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1 ใส่ลงในกระทะ นำไปผัดโดยใช้ไฟระดับปานกลาง พร้อมคนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งรำข้าวสาลีเป็นสีเหลืองเกรียม และตัวยามีสีน้ำตาลเข้ม นำออกจากเตา แล้วร่อนเอารำข้าวสาลีออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้รำข้าวสาลี 40 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]
วิธีที่ 3 ลูกจันทน์เทศคั่วผงหินลื่น เตรียมโดยนำผงหินลื่นใส่ในภาชนะที่เหมาะสม แล้วให้ความร้อนที่อุณหภูมิสูง ใส่ตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1 ลงไป คนอย่างสม่ำเสมอจนกระทั่งผิวด้านนอกของตัวยามีสีน้ำตาลเข้มและมีกลิ่นหอมกรุ่น นำออกจากเตา แล้วร่อนเอาผงหินลื่นออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้ผงหินลื่น 50 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]
วิธีที่ 4 ลูกจันทน์เทศห่อแป้งหมี่คั่ว เตรียมโดยนำแป้งหมี่ผสมน้ำในปริมาณที่เหมาะสม ปั้นให้เป็นแผ่น แล้วนำมาอัดให้เป็นแผ่นบาง ๆ จากนั้นนำแผ่นแป้งหมี่ที่เตรียมได้มาห่อตัวยาที่ได้จากวิธีที่ 1พรมน้ำที่ผิวด้านนอกเพื่อให้ชุ่มชื้น แล้วนำไปห่อกับแผ่นแป้งหมี่อีก ห่อประมาณ 3-4 ชั้น ให้ทำเช่นเดียวกัน นำไปตากแดดให้แห้งประมาณ 50% จากนั้นนำไปใส่ลงในภาชนะที่บรรจุผงหินลื่นที่ผัดให้ร้อนแล้ว คนอย่างสม่ำเสมอ จนกระทั่งผิวด้านนอกมีสีเหลืองเกรียม นำออกจากเตา แล้วร่อนเอาผงหินลื่นออก ตั้งทิ้งไว้ให้เย็น ให้เอาแผ่นแป้งหมี่ที่ห่อไว้ทิ้ง เอาเฉพาะตัวยา ทุบให้แตกก่อนใช้ (ใช้แป้งหมี่ 50 กิโลกรัม ต่อตัวยา 100 กิโลกรัม) [3]
ตัวยาที่มีคุณภาพดี เนื้อในเมล็ดต้องมีคุณสมบัติแข็งและเหนียว มีลายเส้นคล้ายเนื้อในเมล็ดหมาก มีน้ำมันมาก และมีกลิ่นหอม [5]
ลูกจันทน์เทศ รสเผ็ด อุ่น มีฤทธิ์สมานลำไส้ ระงับถ่ายท้องร่วง แก้ท้องร่วงเรื้อรัง (เนื่องจากม้ามและไตพร่องและเย็นเกินไป) และมีฤทธิ์ให้ความอบอุ่นแก่กระเพาะอาหาร ทำให้ชี่หมุนเวียนดี แก้ปวดกระเพาะอาหาร เบื่ออาหาร อาเจียน จุกเสียดแน่นท้อง [1]
ลูกจันทน์เทศมีน้ำมันในปริมาณสูง ทำให้มีข้อเสียคือ มีฤทธิ์หล่อลื่นและกระตุ้นลำไส้มากเกินไป โดยทั่วไปจึงต้องนำมาแปรรูปโดยใช้วิธีเฉพาะก่อนใช้ การคั่วจะขจัดน้ำมันบางส่วนออกไป ทำให้ฤทธิ์หล่อลื่นและกระตุ้นลำไส้ลดน้อยลง แต่มีฤทธิ์แรงขึ้นในการช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและระงับอาการท้องเสีย เหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้อง จุกเสียดแน่นท้อง ท้องร่วง อาเจียน อาหารไม่ย่อย [3]
ลูกจันทน์เทศ มีกลิ่นหอม รสเปรี้ยวฝาด ร้อน มีสรรพคุณบำรุงกำลัง บำรุงธาตุ แก้ธาตุพิการ ขับลม แก้จุกเสียด แก้กำเดา แก้ท้องร่วง แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ปวดมดลูก บำรุงเลือด [6-8]
การแพทย์แผนจีน ใช้ขนาด 3-9 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม หรือใช้ภายนอกโดยบดเป็นผงผสมกับน้ำมันหรือน้ำส้มสายชูผสมทา [1]
การแพทย์แผนไทย ใช้เนื้อในเมล็ด 0.5 กรัม หรือประมาณ 1-2 เมล็ด บดให้เป็นผงละเอียด ชงน้ำครั้งเดียว รับประทานวันละ 2 ครั้ง 2-3 วัน [6, 9]
ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการร้อนแกร่ง บิดท้องร่วงเพราะมีความร้อน (การแพทย์แผนจีน) [1]
ห้ามใช้ลูกจันทน์เทศในปริมาณสูง เพราะทำให้เกิดอาการข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์ (การแพทย์แผนไทย) [6]
มีรายงานว่าเมื่อรับประทานลูกจันทน์เทศขนาดน้อยกว่า 1 ช้อนโต๊ะ ก็ทำให้เกิดอาการข้างเคียงได้ อาการข้างเคียงในขนาดสูง ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปากแห้ง หัวใจเต้นเร็ว กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ม่านตาขยาย นอนไม่หลับ มึนงง สับสน เกิดอาการประสาทหลอน และอาจทำให้ชักได้ นอกจากนี้ยังทำให้เกิดอาการแพ้ เช่น allergic contact dermatitis และ occupational asthma [6]