ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย/อาการ:
อ่าน: 121
โรคหัดเยอรมัน (Rubella)
โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง เกิดจากเชื้อไวรัส พบได้บ่อยทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ซึ่งมีอาการไข้และออกผื่นทั่วตัวคล้ายหัด แต่มีความรุนแรงและโรคแทรกซ้อนน้อยกว่าโรคนี้ไม่ใช่โรคร้ายแรงถ้าเป็นในเด็กหรือผู้ใหญ่ทั่วไป มักจะหายได้เองโดยไม่มีโรคแทรกซ้อนที่รุนแรง แต่หากหญิงตั้งครรภ์เป็นโรคหัดเยอรมันในระยะ 3-4 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสจะผ่านไปยังทารกในครรภ์ ทำให้เกิดความพิการทางหู ตา หัวใจ และสมอง โรคหัดเยอรมันสามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน
ต่อมน้ำเหลืองที่หลังหู ท้ายทอย และด้านหลังของลำคอโตและเจ็บเล็กน้อย มีไข้ ปวดศีรษะ บางรายมีอาการแสบตา มีอาการคล้ายเป็นหวัด หรือ มีเจ็บคอร่วมด้วย ประมาณวันที่ 3 ของไข้ จะมีผื่นนูนสีชมพูจางๆ ขึ้นตามร่างกาย ลักษณะผื่นจะกระจายอยู่ห่างๆ โดยผื่นเริ่มขึ้นที่หน้าผากชายผม รอบปาก และใบหูก่อนที่อื่น แล้วลงมาที่ลำคอ ลำตัว แขนขา อาจมีอาการคันร่วมด้วย จากนั้นผื่นจะลามไปทั่วตัวอย่างรวดเร็วภายใน 24 ชั่วโมง โดยผื่นจะเห็นชัดเจนบริเวณแขนขา และจะหายไปในเวลา 1-2 วัน สีผิวจะกลับเป็นปกติ ในผู้ใหญ่มักจะมีไข้สูงกว่าในเด็ก
เกิดจากเชื้อไวรัส Rubella โดยเชื้อจะอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย ของผู้ป่วย ติดต่อได้โดยการไอ จาม หายใจรดกัน เช่นเดียวกับโรคหวัดหรือโรคหัด ระยะฟักตัว 14-21 วัน การติดต่อ:โรคหัดเยอรมันติดต่อกันได้โดยการสัมผัสสารคัดหลั่งจากทางเดินหายใจของผู้ป่วยโดยตรง และสามารถส่งผ่านเชื้อจากมารดาไปสู่ทารกในครรภ์ เชื้อที่อยู่ในลำคอของผู้ป่วยผ่านออกมาทางการไอ จาม เข้าสู่ทางระบบการหายใจ ประมาณร้อยละ 20-50 ของผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการ ระยะติดต่อกันคือ 10 วันก่อนมีผื่นขึ้นไปจนถึง 7-14 วันหลังผื่นขึ้น
สำหรับทารกที่ติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์และคลอดออกมามีความพิการ (Congenital rubella) อาจทำให้เกิดการแท้งหรือตายคลอด สวนทารกที่รอดชีวิต จะเกิดความผิดปกติหรือพิการแต่กำเนิด อาการที่พบบ่อยได้แก่ ต้อกระจก ทารกเติบโตช้า นัยน์ตาเล็ก หูหนวก หัวใจพิการ ปัญญาอ่อนเป็นต้น
การวินิจฉัยโรคนี้ ทำได้โดยการซักประวัติอาการและตรวจร่างกายดูลักษณะของผื่นตามตัว การยืนยันการวินิจฉัยโรค ทำได้โดยการตรวจหาระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโรคหัดเยอรมันในเลือด หรือการเพาะเชื้อไวรัสจากเลือด แต่ไม่จำเป็นต้องส่งตรวจในผู้ป่วยทุกราย
โรคหัดเยอรมัน เป็นโรคติดเชื้อที่ไม่รุนแรง แต่มีความสำคัญในผู้หญิงตั้งครรภ์ เนื่องจากถ้าหญิงตั้งครรภ์ติดเชื้อนี้ จะทำให้ารกมีการติดเชื้อตั้งแต่ในครรภ์และเมื่อคลอดออกมา มักมีความพิการโดยจะมีอาการแตกต่างกันขึ้นกับระยะที่แม่ติดเชื้อ คือ ถ้าแม่เป็นโรคในระยะ อายุครรภ์
สัปดาห์ที่ 1-4 จะพบทารกมีความพิการได้ถึงร้อยละ 30-50
สัปดาห์ที่ 5-8 พบได้ร้อยละ 25
สัปดาห์ที่ 9-12 พบพิการได้ร้อยละ 8
ความพิการที่พบได้บ่อยคือ
ความพิการทางตา (พบเป็น ตาเล็ก ต้อกระจก ต้อหิน)
ความพิการที่หัวใจ หูหนวก
ความผิดปกติทางสมอง ศีรษะและสมองเล็ก
แรกเกิดจะพบมีตับ ม้ามโต มีอาการตัวเหลือง มีจ้ำเลือดตามตัว และเกล็ดเลือดต่ำ
อาการผิดปกติเหล่านี้พบได้ในความรุนแรงแตกต่างกัน และอาจพบได้หลายอย่างร่วมกันได้
โรคหัดเยอรมันเป็นโรคที่หายได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องให้การรักษา ยกเว้นมีภาวะแทรกซ้อน ดังนั้นการรักษาโดยส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงการรักษาตามอาการ เช่น ยาลดไข้แก้ปวด ยาแก้คัน เป็นต้น ร่วมกับการนอนพักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ ควรไปพบแพทย์เมื่อสงสัยว่ามีอาการและอาการแสดงข้างต้น หรือสงสัยว่าได้รับเชื้อ
หากวางแผนจะตั้งครรภ์ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสอบว่ามีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโรคหัดเยอรมันหรือไม่ เนื่องจากหากไม่มีภูมิคุ้มกัน แล้วได้รับเชื้อไวรัสขณะตั้งครรภ์จะทำให้มีผลแทรกซ้อนต่อทารกในครรภ์ได้
หากตั้งครรภ์และพบว่าไม่เคยได้รับวัคซีนหัด หัดเยอรมัน คางทูม ร่วมกับคิดว่าได้รับเชื้อไวรัสควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อรับการตรวจเลือดว่าเคยเป็นโรคและมีภูมิคุ้มกันต่อหัดเยอรมันหรือไม่ ถ้าตรวจพบภูมิคุ้มกันที่จำเพาะสำหรับเชื้อหัดเยอรมัน แสดงว่าน่าจะมีภูมิคุ้มกันแล้ว แต่กรณีตรวจไม่พบแนะนำให้ตรวจเลือดซ้ำอีกครั้ง 2-3 สัปดาห์ต่อมา ถ้าผลตรวจเป็นลบควรตรวจซ้ำอีกครั้ง 6 สัปดาห์หลังสัมผัสโรค กรณีที่การตรวจเลือดทั้งสองครั้งให้ผลลบ แสดงว่าผู้ป่วยไม่ติดโรค แต่ถ้าเคยตรวจครั้งแรกให้ผลลบและครั้งต่อไปให้ผลบวกแสดงว่าผู้ป่วยติดโรค แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณายุติการตั้งครรภ์ ในกรณีที่เด็กอาจมีความพิการแต่กำเนิด
การป้องกัน : โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน ครั้งแรกในตอนอายุ 1 ปีขึ้นไป และฉีดเข็มที่สองเมื่ออายุ 4-6 ปี วัคซีนที่ใช้เป็นชนิดไวรัสเชื้อเป็น โดยนิยมให้ในรูปของวัคซีนรวมหัด-คางทูม-หัดเยอรมัน(
MMR ) สำหรับในท้องที่ห่างไกลในปัจจุบันนี้ได้มีการฉีดวัคซีนป้องกันโรคนี้ ให้ในโรงเรียน นักเรียนชั้นประถมปีที่ 1 และนักเรียนชั้นประถมปีที่ 6
นอกจากการให้วัคซีนป้องกันในเด็กแล้ว สามารถให้วัคซีนในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อไวรัสหัดเยอรมันทั้งหญิงและชาย ไม่ควรฉีดวัคซีนในหญิงตั้งครรภ์ กรณีให้วัคซีนในหญิงวัยเจริญพันธุ์ต้องคุมกำเนิดในช่วงเวลา 1 เดือนหลังฉีด
ป้องกันการติดเชื้อและการแพร่กระจายของเชื้อ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย ถ้ามีอาการไอให้ใช้หน้ากากอนามัย หรือใช้มือปิดปากและจมูกพร้อมกับล้างมือบ่อยๆ
ข้อห้ามในการฉีดวัคซีน ได้แก่
ผู้ที่กำลังมีไข้รุนแรง
ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ที่กำลังรักษาด้วยยาสตีรอยด์ ยากดภูมิคุ้มกัน ยารักษามะเร็ง
ผลข้างเคียงของวัคซีนนั้น พบเพียงร้อยละ 2-5 ได้แก่ มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ปวดข้อ ข้ออักเสบ และปลายประสาทอักเสบ
หลายคนอาจจะคิดว่า ถ้าเคยเป็นหัดเยอรมันมาแล้ว คงจะไม่เป็นอีก ความจริงแล้วอาจจะมีโอกาสเป็นหัดเยอรมันซ้ำได้ร้อยละ 3-10 เพื่อความปลอดภัย โดยเฉพาะสตรีตั้งครรภ์ทุกรายควรหลีกเลี่ยงจากการสัมผัสโรค
ยาที่ใช้บ่อย
Paracetamol ,
WWW .mayoclinic.com
ประยงค์ เวชวนิชสนอง และ วนพร อนันตเสรี. กุมารเวชศาสจร์ทั่วไป. สงขลา : ชานเมืองการพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่1. 2550; 121-132.
Rubella: Make sure your child is fully immunized. Centers for Disease Control and Prevention. http://www.cdc.gov/Features/Rubella/. Accessed May 25, 2009.
Measles, mumps & rubella (MMR ) vaccines. Department of Health and Human Services. http://www.cdc.gov/vaccines/pubs/vis/downloads/vis-mmr.pdf. Accessed May 25, 2009.
Patient page: Rubella. The Journal of the American Medical Association. 2002;287:542.
ร่วมเขียนโดย นพ.ปัญญา จำรูญเกียรติกุล,นพ.ธีรภาพ ลิ่วลักษณ์
เขียนเมื่อ 04 มิถุนายน 2553
แก้ไขล่าสุดเมื่อ 25 มิถุนายน 2553
เนื้อหาเกี่ยวกับโรคทั้งหมดเรียบเรียงโดยแพทย์หรือนักศึกษาแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ภายใต้การดูแลของแพทย์ และผ่านกระบวนการตรวจสอบคุณภาพเนื้อหาโดยแพทย์อีกอย่างน้อย 1 ท่าน เนื้อหาในเว็บไซต์นี้ ไม่มุ่งประโยชน์ทางการค้า และไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากองค์กรแสวงหาผลกำไรใด ๆ