เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Mycobacterium tuberculosis ติดต่อได้โดยการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไป
เชื้อวัณโรคมีความสามารถในการทนต่อความแห้งได้ดี แต่จะถูกทำลายได้ด้วยแสงแดดและแสงอุลตร้าไวโอเลต
เมื่อเชื้อวัณโรคเข้าสู่ปอด ก็ทำให้เกิดวัณโรคปอด และในบางครั้งเชื้อวัณโรคจะแพร่ไปสู่อวัยวะอื่นๆได้อีก ทำให้เกิดเป็นวัณโรคนอกปอด เช่น วัณโรคที่ลำไส้ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง ผิวหนังและเยื่อหุ้มสมอง
จากการศึกษาพบว่าผู้ที่สัมผัสเชื้อวัณโรคมีเพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่เกิดโรค โดยที่ร้อยละ 5 จะป่วยเป็นวัณโรคภายใน 2 ปีแรก
อีกร้อยละ 5 จะป่วยเป็นวัณโรคภายในระยะเวลา 10 ปี
มักจะมาด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด อาจมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัว หรือเป็นไข้ต่ำ ๆ ตอนบ่าย ๆ มีเหงื่อออกตอนกลางคืน ต่อมาจึงมีอาการไอ ระยะแรก ๆ ไอแห้ง ๆ ต่อมาจะมีเสมหะ ไอมากเวลาเข้านอน หรือตื่นนอนตอนเช้า
อาการไอจะเรื้อรังเป็นแรมเดือน แต่บางคนอาจไม่มีอาการไอเลยก็ได้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกแน่นหรือเจ็บหน้าอกโดยที่ไม่มีอาการไอ
ในรายที่เป็นมากอาจจะหอบหรือไอเป็นเลือด ในบางรายอาจมีไข้เรื้อรัง โดยไม่ทราบสาเหตุ
ผู้ป่วยส่วนหนึ่งอาจจะไม่มีอาการอะไรเลย แต่ตรวจพบโดยบังเอิญจากการเห็น “จุด” ในปอดในภาพถ่ายรังสีทรวงอก วัณโรคในเด็กอาการมักจะรุนแรงกว่าผู้ใหญ่ เพราะมีภูมิคุ้มกันน้อย อาจแพร่กระจายไปตามกระแสเลือด เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือลุกลามไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น กระดูกไต ลำไส้ ฯลฯ ได้
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค
เกิดจากการได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย
วินิจฉัยจากผลการตรวจย้อมเสมหะพบเชื้อวัณโรค โดยวิธีย้อมสีแอซิดฟาสต์ (Acid fast stian)
หรือ ตรวจไม่พบเชื้อวัณโรค แต่มีอาการทางคลินิก และภาพถ่ายรังสีทรวงอกที่ผิดปกติเข้าได้กับลักษณะของวัณโรคปอด
ที่สำคัญ เช่น เยื่อหุ้มปอดอักเสบ , ฝีในปอด , น้ำในช่องหุ้มปอด ไอเป็นเลือด เป็นต้น
เนื่องจากวัณโรคต้องใช้ยาร่วมกันหลายชนิดในการรักษา และใช้ระยะเวลารักษานาน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยา
และลดการกลับมาเป็นซ้ำ ดังนั้นหลักที่สำคัญในการรักษา คือ การเลือกใช้ยาที่เหมาะสม และการได้รับยาครบถ้วน
จะป้องกันไม่ให้ป่วยเป็นวัณโรคได้อย่างไร
แนวทางการวินิจฉัยและรักษาวัณโรคในประเทศไทย 2543