ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย / อาการ
อ่าน: 394
พยาธิตัวแบน (Platyhelminthes)
หนอนตัวแบนหรือแพลทีเฮลมินธิส (Platyhelminthes) เป็นไฟลัมหนึ่งของสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ลำตัวแบนจากบนลงล่าง ลักษณะคล้ายริบบิ้น ผิวลำตัวอ่อนนิ่ม ส่วนใหญ่ดำรงชีวิตแบบปรสิต (ต้องอาศัยสิ่งมีชีวิตอื่นช่วยในการดำรงชีวิต ไม่สามารถอาศัยอยู่เดี่ยวได้ ) ยกเว้นบางชนิดอาจดำรงชีวิตแบบอิสระ ขนาดและความยาวแตกต่างกันไปตามแต่ละชนิดย่อยของหนอนตัวแบน แต่ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กและสั้น ยกเว้นพยาธิตัวตืด
ลักษณะทางกายภาพของหนอนตัวแบน :
- ระบบย่อยอาหาร : ทางเดินอาหารไม่สมบูรณ์ มีแต่ปาก ไม่มีทวารหนัก
- ระบบการหายใจ : ไม่มีระบบหายใจ แต่ใช้การแลกเปลี่ยนก๊าซโดยแพร่ผ่านผนังลำตัวแทน
- ระบบประสาท : ระบบประสาทเป็นแบบวงแหวนหรือแบบขั้นบันได
- ระบบโครงร่างค้ำจุน : ไม่มีระบบโครงค้ำจุน (คนมีกระดูกสันหลังเป็นโครงค้ำจุน)
- ระบบหมุนเวียนโลหิต : หนอนตัวแบนไม่มีระบบหมุนเวียนโลหิตเหมือนคน แต่จะอาศัยการแลกเปลี่ยนก๊าซและของเสียผ่านทางผิวหนังโดยตรง ดังนั้นผิวหนังจึงสร้างความชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ระบบสืบพันธุ์ : สามารถสืบพันธุ์ได้ทั้งแบบไม่อาศัยเพศ (โดยอาศัยการงอกใหม่) และการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ (หนอนตัวแบนมีสองเพศในตัวเดียวกัน สามารถผสมพันธุ์โดยผสมข้ามตัวหรือผสมภายในตัวเองแล้วแต่ชนิดของหนอนตัวแบน ไข่ที่ได้จากการผสมพันธุ์จะมีขนาดเล็ก เมื่อผสมแล้วจะปล่อยออกภายนอกตัว จากนั้นตัวอ่อนมีทั้งที่หากินแบบเป็นอิสระและเป็นปรสิต) หนอนตัวแบนที่พบในประเทศไทยบ่อยๆ แบ่งได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ คือ
- พยาธิตัวตืด :
- พยาธิตัวตืดหมู (Taenia solium)
- พยาธิตัวตืดวัว (Taenia saginata)
- พยาธิใบไม้ :
- พยาธิใบไม้ตับ : มี 2 ชนิดย่อย คือ Fasciola hepatica และ Opisthalchis viverrini
- พยาธิใบไม้ลำไส้ (Fasciolopsis buski)
- พยาธิใบไม้ปอด (Paragonimus heterotremus)
- พยาธิใบไม้เลือด
แล้วแต่ชนิดของพยาธิ คือ
- พยาธิตัวตืด : ผู้ป่วยจะมีอาการจากมีพยาธิตัวตืดอยู่ในลำไส้เล็ก คือ ระคายเคืองท้อง, อาหารไม่ย่อย, เบื่ออาหาร, น้ำหนักลด ทั้งที่กินได้มาก, ท้องผูกหรือท้องเสีย
- พยาธิใบไม้ :
- พยาธิใบไม้ตับ : มี 2 ชนิดย่อย คือ
- Fasciola hepatica : ทำให้ตับม้ามโตและตัวเหลืองตาเหลือง
- Opisthalchis viverrini : ตัวแก่จะเจริญเติบโตอยู่ในท่อน้ำดีในตับ ผู้ป่วยบางรายไม่มีอาการ แต่ผู้ป่วยบางรายจะมีอาการท้องอืด, แน่นท้อง โดยเฉพาะหลังอาหาร, ตับโตและกดเจ็บ, ตัวเหลืองตาเหลือง
- พยาธิใบไม้ลำไส้ (Fasciolopsis buski) : คลื่นไส้, ท้องเดิน, ปวดท้องเมื่อหิว, อาจเสียชีวิตจากขาดสารอาหาร, ถ้ามีมาก พยาธิอาจอุดตันในลำไส้ได้
- พยาธิใบไม้ปอด (Paragonimus heterotremus) : ถ้ามีน้อยจะไม่มีอาการ แต่ถ้ามีพยาธิอยู่ในปอดจำนวนมาก จะทำให้มีอาการคล้ายวัณโรค คือ ไอเรื้อรัง ตอนแรกไอแบบแห้งๆ ต่อมาจะไอเสมหะสีสนิมเหล็ก, ไม่มีไข้
- พยาธิใบไม้เลือด : ประกอบด้วย
- ตอนที่ตัวอ่อนพยาธิไชผ่านผิวหนัง บางคนอาจไม่มีอาการ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจเกิดผื่นคันขึ้น
- ตอนที่พยาธิตัวอ่อนเข้าสู่กระแสเลือดและไชผ่านอวัยวะต่างๆ ผู้ป่วยจะมีอาการไข้, หนาวสั่น, ปวดท้อง, ตับม้ามโต, เบื่ออาหาร, ขี้เป็นมูกเลือด
- ตอนที่ตัวแก่ไปเจริญอยู่ในเส้นเลือดดำที่ไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ อาจมีอาการตับม้ามโต, ปัสสาวะมีเลือดปนหรือกรวยไตอักเสบ เป็นต้น
พยาธิแต่ละชนิดจะมีวงจรชีวิตแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่การติดเชื้อพยาธิเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีไข่หรือตัวอ่อนของพยาธิปนอยู่ มีรายละเอียด คือ
- พยาธิตัวตืด ติดต่อโดยการกินเม็ดสาคูที่อยู่ในเนื้อวัวหรือเนื้อหมู (ตามชนิดของพยาธิตัวตืด) ที่ไม่สุก เช่น แหนมหรือลาบ พยาธิเกาะยึดกับผนังลำไส้เล็ก และเจริญเป็นตัวแก่อยู่ในลำไส้เล็กโดยแย่งดูดซึมอาหารที่เรากินเข้าไป เมื่อพยาธิเจริญเป็นตัวแก่ จะสลัดปล้องที่สุกซึ่งอยู่ปลายสุดหรือปล่อยไข่ออกมากับอุจจาระ หมูหรือวัวจะมากินไข่พยาธิที่ปนอยู่บนผักหรือพื้นดินเข้าไป พยาธิตัวอ่อนไชทะลุผนังลำไส้หมูหรือวัว เข้าสู่กระแสเลือดแล้วไปอาศัยอยู่ในกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ โดยการสร้างถุงหุ้มรอบตัวไว้ กลายเป็นเม็ดสาคูในเนื้อหมูหรือวัวในที่สุด
- พยาธิใบไม้ ติดต่อโดยการกินตัวอ่อนระยะติดต่อที่อยู่ในสิ่งต่างๆ ตามชนิดของพยาธิ คือ
- พยาธิใบไม้ตับ : Fasciola hepatica พบในพืชน้ำ และ Opisthalchis viverrini พบในเนื้อปลา
- พยาธิใบไม้ลำไส้ พบในพืชน้ำ
- พยาธิใบไม้ปอด พบในเนื้อปูหรือกุ้ง
หลังจากกินเข้าไปแล้ว พยาธิตัวอ่อนจะออกมาในลำไส้ จากนั้นจะไชออกจากผนังลำไส้ เพื่อไชไปอยู่ในอวัยวะต่างๆ ตามชนิดของพยาธิ (ดูได้จากชื่อของพยาธิ)
ยกเว้นพยาธิใบไม้เลือด ไม่ได้ติดต่อโดยการรับประทานตัวอ่อนพยาธิ แต่ติดต่อโดยการที่คนลงไปเล่นน้ำ แล้วตัวอ่อนของพยาธิไชผ่านผิวหนังโดยตรง จากนั้นจะไชเข้าสู่กระแสเลือด แล้วไปเจริญเป็นตัวแก่อยู่ในเส้นเลือดต่างๆ โดยเฉพาะเส้นเลือดดำในช่องท้อง
ส่วนใหญ่วินิจฉัยได้จากการพบไข่พยาธิอยู่ในอุจจาระ ยกเว้นไข่พยาธิบางชนิดจะพบได้ในสารคัดหลั่งอื่น นอกจากในอุจจาระ
ลักษณะของไข่พยาธิที่เห็นจากการเอาอุจจาระมาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์ คือ
- พยาธิตัวตืด : พบไข่พยาธิอยู่ในอุจจาระ
- พยาธิใบไม้ :
- พยาธิใบไม้ตับ : Fasciola hepatica และ Opisthalchis viverrini พบไข่พยาธิในอุจจาระ
- พยาธิใบไม้ลำไส้ (Fasciolopsis buski) : พบไข่พยาธิอยู่ในอุจจาระ, น้ำดี และน้ำย่อยจากลำไส้เล็ก
- พยาธิใบไม้ปอด (Paragonimus heterotremus) : พบไข่พยาธิอยู่ในอุจจาระ, ปนกับเสมหะ, ส่งตรวจชิ้นเนื้อปอด
- พยาธิใบไม้เลือด : พบไข่พยาธิอยู่ในอุจจาระ,ชิ้นเนื้อจากลำไส้ตรง
- พยาธิตัวตืด :
- ทำให้น้ำหนักน้อย จากมีพยาธิมาแย่งดูดซึมอาหาร
- ในพยาธิตืดหมู มีภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ และไม่พบในพยาธิตืดวัว คือ คนติดเชื้อโดยการได้รับไข่มา (ปกติติดโดยการกินพยาธิตัวอ่อนในเม็ดสาคู) โดยการกินปล้องสุกหรือไข่พยาธิในอาหารที่ปนเปื้อนอุจจาระหรือผักดิบที่ใช้อุจจาระทำปุ๋ย รวมทั้งการที่ผู้ป่วยที่มีพยาธิตัวตืดตัวแก่อยู่ในลำไส้เล็ก เกิดการขย้อนปล้องแก่กลับขึ้นมาในกระเพาะอาหาร พยาธิในร่างกายคนจะทำตัวคล้ายอยู่ในหมู คือ พยาธิตัวอ่อนไชทะลุผนังลำไส้เล็กออกมาเข้าสู่กระแสเลือด จากนั้นจะไปสร้างถุงหุ้มอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ อาการขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่พยาธิตัวอ่อนไปสร้างถุงหุ้มอยู่ คือ
- ไปสร้างถุงหุ้มอยู่ในสมอง เรียกว่า พยาธิตัวตืดหมูขึ้นสมอง ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ, ชัก , อัมพาต หรือเสียชีวิตได้
- ไปสร้างถุงหุ้มอยู่ในตา ทำให้ผู้ป่วยมีการมองเห็นผิดปกติ, ปวดตา หรือตาบอดได้
- ไปสร้างถุงหุ้มอยู่ตามผิวหนัง ทำให้มีคล้ายเม็ดข้าวสารอยู่ตามผิวหนัง
- พยาธิใบไม้ :
- พยาธิใบไม้ตับ Opisthalchis viverrini : ถ้าเป็นมากและนาน อาจทำให้เกิดมะเร็งที่ท่อทางเดินน้ำดีได้ (Cholangiocarcinoma)
- พยาธิใบไม้ลำไส้ (Fasciolopsis buski) : ถ้ามีมาก อาจทำให้เกิดลำไส้อุดตันได้
- พยาธิใบไม้ปอด (Paragonimus heterotremus) : ถ้าพยาธิไม่ได้อยู่ในปอด จะมีอาการจากพยาธิอยู่ผิดที่ เช่น ที่สมองจะมีอาการชักคล้ายโรคลมบ้าหมู, ที่ช่องท้อง จะทำให้มีอาการปวดท้องและถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น
- การรักษาโรค : รับประทานยาขับถ่ายพยาธิตามคำแนะนำของแพทย์ โดยพยาธิแต่ละชนิดจะมีความแตกต่างกันของชนิดของยา, ขนาดยาที่ใช้ และจำนวนวันที่ต้องกินยา
- การป้องกันการติดพยาธิ : แตกต่างกันตามชนิดของพยาธิ
- พยาธิตัวตืด :
- ถ่ายอุจจาระในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
- ก่อนซื้อเนื้อวัวหรือเนื้อหมูมารับประทาน ควรตรวจดูด้วยว่าเนื้อนั้นมีเม็ดสาคูหรือไม่
- รับประทานเนื้อวัว หรือเนื้อหมู ที่ผ่านการทำให้สุกแล้วเท่านั้น
- พยาธิใบไม้ตับ, ลำไส้และปอด : กินเนื้อปู, กุ้ง, ปลาและพืชน้ำที่ต้มสุกแล้ว
ยาที่ใช้บ่อย
mebendazole, albendazole, praziquantel
- พรรณทิพย์ ฉายากุล, บรรณาธิการ. ปรสิตวิทยา. หาดใหญ่ : คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์. พิมพ์ครั้งที่2. 2531.
- ประยงค์ ระดมยศ, บรรณาธิการ. Atlas of medical parasitology : with 465 colour illustrations. กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์, 2547.
18 กรกฎาคม 2553
25 กรกฎาคม 2553