ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย / อาการ
อ่าน: 4005
โรคมัยแอสทีเนียเกรวิส (myasthenia gravis)
เป็นโรคที่มีการสื่อสารระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อลายผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง จัดเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงชนิดหนึ่ง โดยเฉพาะกล้ามเนื้อเล็กๆ บริเวณใบหน้า ผู้ป่วยมีอาการหนังตาตก ถ้าเป็นมากอาจจะมีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อทั้งตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อที่เกี่ยวกับการหายใจ ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงทั่วๆ ไป กลืนอาหารและน้ำลำบาก สำลักอาหาร ถ้าเป็นมากอาจถึงกับหายใจไม่ได้
ลักษณะสำคัญของโรคนี้คือ เป็นโรคเรื้อรัง อาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเป็นๆ หายๆพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แต่ถ้าอาการเริ่มเป็นหลังอายุ 40 ปี จะพบในเพศชายมากกว่าหญิง พบบ่อยในสองช่วงอายุ คือ อายุ 20-40 ปี และ 40-60 ปี
โดยทั่วไปผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส จะมีอาการชนิดค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลาเป็นสัปดาห์ถึงเดือน ในบางรายอาจมาด้วยอาการรุนแรงแบบฉับพลัน โดยเฉพาะกรณีที่มีภาวะการหายใจล้มเหลว อาการของผู้ป่วยส่วนใหญ่อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้มากในช่วง 4 ปีแรก ถ้าได้รับการวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องก็จะทำให้ผู้ป่วยอาการดีขึ้น โดยที่ร้อยละ 90 ของผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงที่สุดภายในระยะเวลา 3 ปี หลังจากเริ่มมีอาการ จากนั้นโรคจะเข้าสู่ระยะคงที่ และอาจค่อยๆ ดีขึ้น ใช้เวลาเป็นปี
เด็กบางคนมีอาการของโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส ตั้งแต่แรกเกิด มารดามักจะสังเกตว่าเด็กมีอาการแขนขาอ่อนแรงและขยับได้น้อย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการอ่อนแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะตำแหน่งก่อน เช่น หนังตาตกข้างเดียว มองเห็นภาพซ้อนเวลามองไกลหรือมองขึ้นบน เป็นต้น ต่อมาอาการจะเป็นมากขึ้น เช่น เคี้ยวหรือกลืนอาหารลำบาก พูดเสียงขึ้นจมูก เสียงแหบ และ กล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรง โดยมีลักษณะ อาการล้าเป็นมากตามกิจกรรมที่ทำ อาการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหรือเลวลงได้ระหว่างวันโดยมีอาการมากช่วงบ่าย
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
- หนังตาตก พบว่าส่วนใหญ่ตาสองข้างไม่เท่ากัน มีอาการช่วงสายหรือบ่าย และหลังการใช้สายตา เช่น การอ่านหนังสือ ขับรถเป็นระยะเวลาหนึ่ง
- มักมองภาพไม่ชัด ตามัว โดยมองเห็นภาพซ้อนเมื่อมองสองตา ถ้าปิดตาข้างใดข้างหนึ่งจะมองเห็นชัดเจน อาการเริ่มต้นมักพบในการมองไกลและมองขึ้นบน
- กลืนอาหารลำบาก สำลักและพูดเสียงขึ้นจมูก เป็นอาการที่พบบ่อย ลักษณะสำคัญ คือ จะมีอาการกลืนน้ำลำบากมากกว่าของแข็ง กลืนแล้วสำลัก โดยอาการจะเป็นหลังจากรับประทานอาหารไประยะหนึ่ง บางรายมีอาการเคี้ยวอาหารลำบากร่วมด้วย
- อ่อนแรง ลักษณะจำเพาะ คือ อ่อนแรงของกล้ามเนื้อต้นแขน ต้นขา เช่น การหยิบของบนชั้นที่สูง การเดินขึ้นบันได การนั่งยองๆแล้วลุกขึ้นลำบาก อาการจะเป็นมากช่วงสายหรือบ่ายของวัน เมื่อพักแล้วดีขึ้นโดยไม่มีอาการชา
- อาการอื่นๆ เช่น พูดนานๆแล้วเสียงหายไป ปวดศีรษะเนื่องจากมองเห็นภาพซ้อน เหนื่อยหายใจไม่ไหว และถ้าเป็นรุนแรงอาจมีอาการหายใจล้มเหลว ซึ่งพบได้ไม่บ่อย
- ร่างกายผู้ป่วยสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนชนิดหนึ่งในร่างกาย ซึ่งทำหน้าที่เป็นตัวรับสารอะซิติลโคลีน (เป็นสารสื่อประสาทระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อลาย และมีบทบาทสำคัญในการหดตัวของกล้ามเนื้อ) ทั้งนี้พบว่าโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนในผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส น้อยกว่าคนปกติถึงสามเท่า
- เกิดจากสารอะซิติลโคลีนไม่สามารถทำงานได้ ในผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส ร่างกายหลั่งสารอะซิติลโคลีนออกมาในปริมาณปกติ แต่สารอะซิติลโคลีนไม่สามารถทำงานได้ เนื่องจากโปรตีนตัวรับถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันที่ร่างกายสร้างขึ้น
- ปัจจัยทางพันธุกรรม โดยปกติโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส เกิดขึ้นในภายหลัง ไม่ได้เป็นมาตั้งแต่กำเนิด โดยเกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่ในบางรายอาจเกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรมได้ บางครั้งพบว่าพี่น้องของผู้ป่วยก็เป็นโรคนี้เช่นกัน
- ความผิดปกติของต่อมไธมัส เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส โดยพบว่าเกิดจากเนื้องอกของต่อมไธมัส และ เกิดจากต่อมไธมัสโตผิดปกติ ทำให้เกิดการสร้างภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีน ผู้ป่วยที่พบเนื้องอกของต่อมไธมัส จะมีอาการที่รุนแรง ตรวจพบภูมิคุ้มกันต่อโปรตีนตัวรับสารอะซิติลโคลีนในปริมาณสูง และตรวจพบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อที่รุนแรง
- ปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้อาการรุนแรงมากขึ้น ได้แก่ การติดเชื้อ ไข้ ร้อนหรือเย็นเกินไป เครียด ออกแรงมากเกินไป มีประจำเดือน การตั้งครรภ์ โรคไทรอยด์ และยาบางชนิด
โรคนี้สามารถให้การวินิจฉัยได้จากการซักถามประวัติและอาการโดยละเอียด การตรวจร่างกายระบบต่างๆ การตรวจทางระบบประสาท แพทย์จะพิจารณาทำการทดสอบเพิ่มเติมเพื่อยืนยันการวินิจฉัยที่แน่นอนและในรายที่อาการไม่ชัดเจน ได้แก่
- การตรวจภูมิคุ้มกันต่อตัวรับของอะซิติลโคลีน เรียกว่า acetylcholine receptor antibody เป็นการตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ ร้อยละ 85 ของผู้ป่วยโรคมัยแอสทีเนียเกรวิส จะตรวจพบภูมิคุ้มกันดังกล่าวในเลือด
- การตรวจภูมิคุ้มกันชนิด anti-MuSK เป็นการตรวจเลือดเช่นกัน พบว่าผู้ป่วยร้อยละ 15 ที่ตรวจไม่พบภูมิคุ้มกันต่อตัวรับของอะซิติลโคลีน จะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด anti-MuSK มากถึงร้อยละ 40-70
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้อ (EMG) อาจพิจารณาตรวจเฉพาะเจาะจงในผู้ป่วยบางราย
- ทำการตัดชิ้นกล้ามเนื้อมาตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์
- การตรวจอาการอ่อนล้าของกล้ามเนื้อ (fatigability) ได้แก่ การให้ผู้ป่วยทำกิจกรรมต่อเนื่องที่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการอ่อนแรงได้ เช่น การมองขึ้นบนนาน 1 นาที แล้วตรวจว่าผู้ป่วยมีหนังตาตกเพิ่มขึ้นหรือไม่ การให้ผู้ป่วยเดินขึ้นบันไดหรือลุกนั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนแรงขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งอาการอ่อนแรงจะดีขึ้นเมื่อพักสักครู่ การให้ผู้ป่วยพูดหรืออ่านออกเสียงดังๆ ผู้ป่วยมีอาการเสียงแหบหรือหายไป เมื่อพักแล้วดีขึ้น
- การตรวจด้วยน้ำแข็ง (Ice test) โดยการนำน้ำแข็งห่อใส่วัสดุ แล้วนำไปวางที่เปลือกตาของผู้ป่วยนาน 2 นาที แล้วประเมินว่าอาการหนังตาตกดีขึ้นหรือไม่ โดยผู้ป่วยโรคไมแอสทีเนียเกรวิสอาการหนังตาตกจะดีขึ้น
- Prostigmin test โดยการฉีด Prostigmin ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ แล้วประเมินที่ 15 20 25 30 นาที โดยประเมินอาการหนังตาตก อาการอ่อนแรงหรือเสียงแหบ หากเป็นโรคไมแอสทีเนียเกรวิส ผู้ป่วยจะมีอาการดีขึ้นอย่างชัดเจน อาจเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรง หรือ หัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยา
ภาวะแทรกซ้อนของไมแอสทีเนียเกรวิสสามารถรักษาได้ แต่ก็มีบางอย่างที่เป็นอันตรายถึงชีวิต
- ไมแอสทีเนียเกรวิสคริซิส (Myasthenic crisis)
เป็นลักษณะที่เป็นอันตรายถึงชีวิต จะเกิดเมื่อกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจอ่อนแรงจนไม่สามารถทำงานได้
ภาวะแทรกซ้อนจากโรคที่พบร่วม หรือมีความสัมพันธ์เช่น
- เนื้องอกที่ต่อมไทมัส (Thymus tumors)
ประมาณ 15% ของผู้ป่วยไมแอสทีเนียเกรวิส จะมีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส แต่โดยส่วนใหญ่เนื้องอกเหล่านี้จะไม่เป็นเนื้อร้าย
- ต่อมไทรอยด์ถูกกระตุ้นน้อยหรือมากเกินไป (Underactive or overactive thyroid) ต่อมไทรอยด์มีหน้าที่หลั่งฮอร์โมนที่เกี่ยวกับระบบเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ถ้าไทรอยด์ไม่ทำงาน ร่างกายจะใช้พลังงานอย่างช้าเกินไป แต่ถ้าไทรอยด์ทำงานมากไปจะทำให้ร่างกายใช้พลังงานเร็วเกินไป
- โรคลูปัส (Lupus) เป็นโรคในระบบภูมิคุ้มกันโดยจะส่งผลทั่วร่างกาย อาการที่พบบ่อยคือ ข้อปวดและบวม ผมร่วง เพลียมาก และมีผื่นแดงที่หน้า
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์(Rheumatoid Arthritis) ข้ออักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติ โดยส่วนใหญ่จะเป็นข้อมือและนิ้วมือ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดรูปร่างของข้อเปลี่ยนไปทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้งานของมือได้
- ยา (Medications)
- ยาต้านฤทธิ์ของเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรส Cholinesterase inhibiter เช่น ยาพวก pyridostigmine (Mastinon) จะกระตุ้นการเชื่อมต่อระหว่างเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ ยากลุ่มนี้จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงและหดตัวได้ดีขึ้น
- ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ Corticosteroids จะช่วยยับยั้งระบบภูมิคุ้มกัน และจำกัดการสร้างแอนตี้บอดี้ แต่การใช้ยาพวกนี้นานๆ อาจทำให้เกิดผลกระทบหลายอย่างตามมา เช่น กระดูกบางลง น้ำหนักเพิ่ม เบาหวาน และเพิ่มความเสี่ยงของการติดเชื่อ และเพิ่มการสะสมของไขมัน
- ยากดภูมิคุ้มกัน Immunosuppressants เช่น azathioprine (Imuran), cyclosporine (Sandimmune, Neoral) หรือ smycophenolate (CellCept).
- การรักษาโดยไม่ใช้ยา (Therapy)
- การฟอกเลือด (Plasmapheresis) เป็นการกำจัดแอนตี้บอดี้ที่ทำลายตัวรับสัญญาณประสาท แต่จะต้องทำซ้ำทุกๆสองถึงสามอาทิตย์
- การให้สารอิมมูโนโกลบูลินเข้าหลอดเลือด (Intravenous immune globulin) จะให้แอนตี้บอดี้ที่ปกติแก่ร่างกาย ซึ่งจะเปลี่ยนการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันร่างกาย มีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงน้อยกว่าการฟอกเลือด หรือการกดภูมิคุ้มกัน แต่ต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งถึงสองสัปดาห์ที่จะเห็นผล และจะอยู่ได้อย่างน้อยหนึ่งหรือสองเดือน
- การผ่าตัด(Surgery)จากที่ทราบกันแล้วว่าประมาณ 15% ของผู้ป่วยไมแอสทีเนียเกรวิส จะมีเนื้องอกที่ต่อมไทมัส จึงจำเป็นต้องผ่าเอาเนื้องอกออก แต่ในคนที่ไม่มีเนื้องอก ก็ยังไม่มีผลยืนยันแน่ชัดว่าการผ่าเอาต่อมไทมัสออกจะมีประโยชน์จริงหรือไม่ ซึ่งขี้นอยู่กับการตัดสินใจระหว่างผู้ป่วยและแพทย์ แต่โดยมากแพทย์จะไม่แนะนำถ้า
- อาการของโรคไม่ร้ายแรง
- อาการเป็นเฉพาะที่ตา
- ผู้ป่วยมีอายุมากกกว่า 60 ปี
ยาที่ใช้บ่อย
azathioprine (Imuran), cyclosporine (Sandimmune, Neoral) , smycophenolate , pyridostigmine (Mastinon).
- MayoClinic: Myasthenia gravis [online]., Available from ; URL : http://www.mayoclinic.com/health/myasthenia-gravis/DS00375
- http://en.wikipedia.org/wiki/Myasthenia_gravis
27 พฤษภาคม 2553
25 กรกฎาคม 2553