ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย / อาการ

อ่าน: 2581
Small_font Large_font

หัด (Measles)

คำจำกัดความ

โรคหัด (Measles/Rubeola) พบมากในเด็กอายุ 2-14 ปี มักไม่พบในทารกอายุต่ำกว่า 6-8 เดือน เนื่องจากยังมีภูมิต้านทานที่ได้รับจากแม่ตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เป็นโรคที่แพร่กระจายได้รวดเร็ว มักจะพบในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน แต่ก็อาจพบได้ประปรายตลอดปี นับว่าเป็นโรคที่มีความสำคัญมากโรคหนึ่ง เพราะอาจมีโรคแทรกซ้อนทำให้ถึงเสียชีวิตได้

อาการ

อาการเริ่มด้วยมีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ตาแฉะ แพ้แสงแดด หนังตาบวม และจะมีอาการถ่ายเหลวบ่อยครั้งเหมือนท้องเดิน อาการต่างๆ จะเป็นมากขึ้นพร้อมกับไข้สูงขึ้น 38.5-40.5 องศาเซลเซียส บางรายอาจสูงกว่านั้น ไข้มีลักษณะสูงตลอดเวลา กินยาลดไข้แล้วไข้ไม่ลด และจะสูงเต็มที่เมื่อมีผื่นขึ้นในวันที่ 4 ของไข้ ในระยะ 1-2 วัน ก่อนผื่นขึ้นจะพบจุดขาวๆ เล็กๆ มีขอบสีแดงๆ อยู่ในกระพุ้งแก้มด้านใน หรือบริเวณใกล้ฟันกรามล่าง หรือ ฟันกรามด้านบนสองซี่สุดท้าย เรียกว่าจุดค็อปลิก Koplik’s spots ซึ่งจะช่วยให้วินิจฉัยโรคหัดได้ก่อนที่จะมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นนูนแดง ติดกันเป็นปื้นๆ โดยจะขึ้นที่หน้า บริเวณชิดขอบผม แล้วแผ่กระจายไปตามลำตัว แขน ขา เมื่อผื่นแพร่กระจายไปทั่วตัว ซึ่งกินเวลาประมาณ 2-3 วัน ไข้ก็จะเริ่มลดลง ผื่นที่ระยะแรกมีสีแดงจะมีสีเข้มขึ้น เป็นสีแดงคล้ำ หรือน้ำตาลแดง ซึ่งคงอยู่นาน 5-6 วัน กว่าจะจางหายไปหมดกินเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ บางรายจะเหลือให้เห็นเป็นรอยสีน้ำตาล บางครั้งจะพบผิวหนังลอกเป็นขุยอาการจะรุนแรงในเด็กทารกและผู้ใหญ่มากกว่าในเด็กทั่วไป

สาเหตุ

โรคหัด เกิดจากเชื้อไวรัส Measles ซึ่งอยู่ในตระกูล Paramyxovirus ซึ่งเป็น RNA ไวรัส ที่จะพบได้ในจมูก ลำคอ และในน้ำลายของผู้ป่วย

โรคหัดติดต่อกันได้ง่ายมาก ติดต่อทางตรงจากการหายใจเอาละอองของเชื้อโรคที่มีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย ไอ จาม ของผู้ป่วย หรือติดต่อโดยทางอ้อมจากการใช้เครื่องใช้ต่างๆ ที่เปื้อนเชื้อของผู้ป่วย โรคหัด หรือพูดกันในระยะใกล้ชิด โดยเชื้อไวรัสจะกระจายอยู่ในละอองเสมหะ น้ำมูก น้ำลายของผู้ป่วย และเข้าสู่ร่างกายโดยทางการหายใจ บางครั้งเชื้ออยู่ในอากาศ เมื่อหายใจเอาละอองที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัส (air borne) เข้าไปก็ทำให้เป็นโรคได้ ผู้ติดเชื้อจะเป็นโรคเกือบทุกราย

ระยะของโรคนี้ แบ่งเป็น

  1. ระยะฟักตัวของโรค หลังจากได้รับเชื้อแล้วประมาณ 10 วัน (ระหว่าง7-18 วัน) จึงจะเริ่มมีอาการไข้ ถ้านับจากวันได้รับเชื้อจนกระทั่งผื่นขึ้นจะใช้เวลาประมาณ 14 วัน
  2. ระยะติดต่อของโรค : เริ่มติดต่อตั้งแต่มีอาการไข้ไปจนถึง 4 วันหลังจากที่ผื่นเกิดขึ้น หลังจากผื่นขึ้นได้ 2 วัน โอกาสการติดต่อไปยังผู้อื่นจะน้อยลง และไม่พบว่าไวรัสที่อยู่ในวัคซีนจะทำให้ติดต่อแพร่โรคได้

ในผู้ที่ไม่เคยเป็นโรคหัดหรือผู้ที่ไม่มีระดับภูมิคุ้มกันของ โรคหัดไม่เพียงพอ จะเสี่ยงต่อการติดโรคทุกคน เมื่อเป็นโรคนี้แล้วจะมีภูมิคุ้มกันอยู่ได้ตลอดชีวิต ทารกที่คลอดจากมารดาที่เคยป่วยเป็นหัดมาก่อน จะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคนี้ ได้นานประมาณ 6 – 9 เดือน ขึ้นกับระดับภูมิคุ้มกันของแม่ที่ผ่านมายังทารกในขณะตั้งครรภ์ ถ้าไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรค เด็กมีโอกาสจะเป็นหัดได้เมื่อภูมิคุ้มกันที่ผ่านมาจากแม่หมดไปเมื่ออายุประมาณ 6-9 เดือน อายุที่พบบ่อยคือ 1-6 ปี ถ้าไม่มีภูมิต้านทานจะเป็นโรคได้ทุกอายุ
สำหรับผู้ที่เคยป่วยเป็นโรคหัดแล้วร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันทำให้ไม่กลับมาป่วยเป็นโรคหัดอีก

การวินิจฉัย

การวินิจฉัยโรคนี้ ดูจากอาการทางคลินิก ลักษณะการเกิดผื่นในวันที่ 4 และการแพร่กระจายของผื่นจากหน้าไปยังแขนขา การมีจุดค็อปลิก Koplik’s spots แต่การวินิจฉัยที่แน่นอนคือ การตรวจเลือดเพื่อหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสโรคหัด โดยการเจาะเลือดตรวจในระยะที่มีผื่น และครั้งที่สองห่างไป 2-4 สัปดาห์ หรืออาจตรวจด้วยการแยกเชื้อไวรัสจากคอ ตา หรือจากปัสสาวะ ในระยะที่มีไข้จะสามารถยืนยันได้ว่าเป็นโรคหัด แต่การแยกเชื้อทำได้ยาก จึงไม่นิยมทำกัน

ภาวะแทรกซ้อน

โรคแทรกซ้อนพบได้บ่อยมาก โดยเฉพาะเด็กที่อยู่ในสภาพยากจน อยู่ในชุมชนแออัด มีภาวะขาดสารอาหาร และในเด็กเล็ก ภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อย มีดังนี้

  1. ทางระบบทางเดินหายใจ
    • หูส่วนกลางอักเสบ
    • หลอดลมอักเสบ กล่องเสียงอักเสบ
    • ปอดอักเสบ
  2. ทางระบบทางเดินอาหาร พบอุจจาระร่วง ซึ่งจะนำไปสู่ภาวะขาดสารอาหาร โรคลำไส้ที่ทำให้สูญเสียโปรตีน
  3. สมองอักเสบพบได้ประมาณ 1 ใน 1000 ราย ซึ่งจะทำให้มีความพิการเหลืออยู่ ถ้าไม่เสียชีวิต
  4. ในเด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอ อาการจะรุนแรงและอาจทำให้มีตาบอด
  5. อาการขาดน้ำ และการติดเชื้ออย่างรุนแรงที่ผิวหนัง

การรักษาและยา

โรคนี้ส่วนใหญ่จะหายได้เอง พบภาวะแทรกซ้อนเป็นส่วนน้อย การรักษาประกอบด้วย

  1. ให้การรักษาตามอาการ ถ้าไข้สูงมากให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราว ร่วมกับการเช็ดตัว ให้ยาแก้ไอที่เป็นยาขับเสมหะได้เป็นครั้งคราว ยาลดไข้ควรเป็นยาพาราเซตตามอล ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกิดโรค Reye’s syndrome ได้
  2. ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ นอกจากรายที่มีโรคแทรกซ้อนเช่น ปอดอักเสบ หูอักเสบ
  3. ให้อาหารอ่อนที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน ให้วิตามินเสริมโดยเฉพาะวิตามินเอ องค์การอนามัยโลกแนะนำว่าควรให้วิตามินเอแก่เด็กที่เป็นหัดทุกรายในพื้นที่ที่มีอุบัติการณ์ของการขาดวิตามินเอสูง โดยการให้วิตามินเอเสริมแก่เด็กที่เป็นหัดจะช่วยลดอัตราตายจากหัดลงได้
  4. การปฏิบัติตัว : เหมือนไข้หวัด คือ
    • พักผ่อนมากๆ
    • ไม่อาบน้ำเย็น ใช้ผ้าชุบตัวเมื่อมีไข้สูง
    • ดื่มน้ำและน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ให้มากๆ
    • ควรแยกผู้ป่วยที่สงสัยเป็นหัดจนถึง 4 วัน หลังผื่นขึ้น
    • หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วย
    • ใช้ผ้าปิดปากหรือจมูกขณะไอหรือจาม ร่วมกับไม่ควรไปในที่ชุมขนเนื่องจากป้องกันการแพร่กระจายของโรค
  5. การป้องกันโรค :
    • โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยรับการฉีดวัคซีน ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขให้วัคซีนป้องกันโรคหัด 2 ครั้ง ครั้งแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 หรืออายุ 4-6 ปี ) โดยให้ในรูปของวัคซีนรวมป้องกันโรคหัด คางทูม หัดเยอรมัน ขอรับการฉีดได้ที่สถานีอนามัยใกล้บ้าน หรือโรงพยาบาลทั่วไป
    • สำหรับผู้ที่สัมผัสโรคภายในระยะ 72 ชั่วโมง อาจพิจารณาให้วัคซีนหัดทันที ซึ่งจะป้องกันการเกิดโรคได้

ถ้าสัมผัสโรคนานเกิน 72 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 6 วัน ให้ Immune globulin (IG) เพื่อป้องกันหรือทำให้ความรุนแรงของโรคลดลง ผู้ที่ควรพิจารณาให้ IG ได้แก่เด็กเล็กอายุน้อยกว่า 1 ปี ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง หญิงมีครรภ์ และเด็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร ซึ่งคนเหล่านั้นถ้าเป็นหัดแล้วจะมีภาวะแทรกซ้อนสูง

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยาที่ใช้บ่อย Paracetamol,

แหล่งอ้างอิง

  1. WWW.mayoclinic.com
  2. Measles: Q&A about disease and vaccine. Centers for Disease Control and Prevention. http://www.cdc.gov/vaccines/vpd-vac/measles/faqs-dis-vac-risks.htm. Accessed March 24, 2009.
  3. Brunell PA. Measles (rubeola virus infection). In: Goldman L, et al. Cecil Medicine. 23rd l’ed. Philadelphia, Pa.: Saunders Elsevier; 2007. http://www.mdconsult.com/das/book/body/127725136-3/820414473/1492/1315.html#4-u1.0-B978-1-4160-2805-5..50395-5_16443. Accessed March 24, 2009.
  4. Fact sheet: Measles. World Health Organization. http://www.who.int/mediacentre/factsheets/fs286/en/index.html. Accessed March 24, 2009.
  5. ประยงค์ เวชวนิชสนอง และ วนพร อนันตเสรี. กุมารเวชศาสจร์ทั่วไป. สงขลา : ชานเมืองการพิมพ์. พิมพ์ครั้งที่1. 2550; 121-132.


04 มิถุนายน 2553 31 มกราคม 2554
เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย