ภาวะพร่องแล็กเทส เป็นภาวะที่ร่างกายของคุณไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้เนื่องจากขาดเอนไซม์ที่ชื่อว่า “แล็กเทส” แล็กเทสเป็นเอนไซม์ที่สร้างจากเซลล์เยื่อบุลำไส้เล็กทำน้าที่ในการย่อยน้ำตาลที่ชื่อว่า “แล็กโทส” ซึ่งเป็นน้ำตาลที่มีอยู่ในนม เมื่อร่างกายของเราไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ก็จะทำให้เกิดอาการท้องอืด ไม่สบายท้อง คลื่นไส้ แน่นท้อง ปวดมวนท้อง และถ่ายเหลว
ภาวะพร่องแล็กเทสมีระดับความรุนแรงแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละรายขึ้นกับปริมาณของเอนไซม์แล็กเทสที่ขาดไป บางคนไม่สามารถสร้างเอนไซม์แล็กเทสได้เลยก็จะมีอาการรุนแรงเพราะสามารถย่อยน้ำตาลในนมได้เลย แต่บางรายร่างกายยังสามารถสร้างเอนไซม์แล็กเทสได้บ้าง แต่ไม่เพียงพอทำให้ไม่สามารถย่อยน้ำตาลในนมได้ทั้งหมดจึงเกิดอาการดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น
อาการจะเกิดขึ้นหลังดื่ม นมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนม ประมาณ 10 นาที ถึง 2 ชั่วโมง อาการมากน้อยขึ้นกับความรุนแรงของภาวะพร่องแล็กเทสและปริมาณนม หรือผลิตภัณฑ์ของนมกินเข้าไป อาการที่เกิดขึ้นได้แก่ ท้องอืด มีลมในลำไส้มาก คลื่นไส้ ปวดมวนท้องและถ่ายเหลว ส่วนปริมาณนมที่ดื่มจนทำให้เกิดอาการท้องเดินนั้นแปรผันไปตามผู้ป่วยแต่ละราย บางรายดื่มนมได้วันละ ๑-๒ แก้วก็ไม่เกิดอาการหรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่บางรายเพียงดื่มนมปริมาณเล็กน้อยก็เกิดอาการท้องเดิน
สาเหตุที่ร่างกาย พร่องเอนไซม์แล็กเทส ส่วนใหญ่จะไม่มีสาเหตุชักนำ แต่เป็นภาวะที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของร่างกายคนเราที่ลำไส้เล็กจะสร้าง เอนไซม์ชนิดนี้มากที่สุดตอนแรกเกิด และจะค่อยๆ สร้างได้น้อยลงไปเรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่วัยเด็ก วัยรุ่น และผู้ใหญ่ มักจะเริ่มปรากฏอาการท้องเดินหลังดื่มนมเมื่ออายุประมาณ ๓-๕ ขวบ บางคนอาจเกิดภาวะพร่องเอนไซม์แล็กเทส หลังจากเป็นโรคอุจจาระร่วงจากการติดเชื้อซึ่งเชื้อโรคจะเข้าไปทำลายเยื่อบุ ลำไส้ ทำให้สูญเสียหน้าที่ในการสร้างน้ำย่อยชนิดนี้ ที่พบบ่อย ได้แก่ ทารกหรือเด็กเล็กที่เป็นโรคอุจจาระร่วงจากเชื้อไวรัสโรตา (rotavirus) หลังจากโรคนี้ทุเลาแล้ว เด็กจะมีอาการท้องเดินทุกครั้งที่ดื่มนม (ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ดื่มนมตามปกติ) ซึ่งมักจะเป็นอยู่หลายสัปดาห์ แล้วในที่สุดเยื่อบุลำไส้จะฟื้นตัวกลับมาสร้างเอนไซม์ได้เหมือนเดิม อาการท้องเดินก็จะหายไปได้ ส่วนน้อยมากที่อาจมีความผิดปกติมาแต่กำเนิด ทำให้เยื่อบุลำไส้เล็กไม่สามารถสร้างเอนไซม์แล็กเทสตั้งแต่แรกเกิด ทำให้มีอาการท้องเดินทุกครั้งที่ดื่มนม และจะเป็นอย่างถาวรไปชั่วชีวิต ภาวะนี้เป็นภาวะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม
แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการแสดงเป็นหลัก และอาจทดลองให้ผู้ป่วยงดดื่มนมและงดกินผลิตภัณฑ์จากนมเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ถ้าหายเป็นปกติ ก็มักจะเป็นภาวะนี้จริง ในกรณีที่ไม่แน่ใจ อาจทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม ส่วนใหญ่จะทำการตรวจระดับไฮโดรเจนในลมหายใจ (hydrogen breath test) ซึ่งพบว่ามีค่าสูงกว่าปกติ ส่วนทารกและเด็กเล็กอาจทำการตรวจหาระดับความเป็นกรดในอุจจาระ (stool acidity test) ซึ่งพบว่าสูงกว่าปกติ หากสงสัยมีสาเหตุจากโรคอื่นๆ ก็อาจต้องทำการตรวจเลือด ปัสสาวะ ส่องกล้อง เอกซเรย์ เป็นต้น
โดยทั่วไปมักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากสร้างความรำคาญ ส่วนทารกและเด็กเล็กที่อาศัยนมเป็นอาหารหลัก หากเกิดอาการท้องเดินเรื้อรัง ก็อาจทำให้น้ำหนักตัวไม่ขึ้นได้ โอกาสที่จะเป็นรุนแรงถึงขั้นขัดขวางการดูดซึมจนน้ำหนักลด และขาดสารอาหารนั้นมีน้อยมาก ถ้าพบมักจะเกิดจากการดูดซึมผิดปกติด้วยสาเหตุอื่น
ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้ต้องลดหรือหลีกเลี่ยงการรับประทานนมและผลิตภัณฑ์ของนมเพื่อลดการเกิดอาการดังที่ได้กล่างไปแล้วข้างต้น
การ ดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดท้อง ท้องเดิน ภายใน 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมง หลังดื่มนมหรือกินผลิตภัณฑ์จากนม ให้ลองงดอาหารพวกนี้สัก 2 สัปดาห์ ถ้าหายดีก็น่าจะเป็นภาวะนี้ แต่ถ้าไม่แน่ใจ หรือพบในทารกหรือเด็กเล็ก หรือมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด หรือถ่ายเป็นมูกหรือมูกปนเลือด ลมพิษ ผื่นคัน หอบหืด ก็ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อการตรวจวินิจฉัยให้แน่ชัด เมื่อพบว่าเป็นภาวะพร่องเอนไซม์ย่อยนม ก็ควรปฏิบัติตัว ดังนี้
หากเป็นภาวะพร่องแล็กเทสที่เกิดหลังจากเป็นโรค อุจจาระร่วงจากการติดเชื้อ อาการมักจะเป็นเพียงชั่วคราวและหายได้เองภายใน 3-4สัปดาห์ ส่วนในรายที่เป็นแบบเรื้อรังก็ควรดูแลตนเองอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยให้ทุเลาและดำเนินชีวิตเป็นปกติสุขได้