โรคงูสวัด ( Herpes zoster) เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ชื่อ varicella-zoster virus ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับไวรัสที่ทำให้เกิดโรคไข้อีสุกอีใส คนที่จะเป็นโรคงูสวัดได้จะต้องมีประวัติเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนและหายไปแล้ว จากนั้นเชื้อไวรัสจะไปซ่อนตัวอยู่ในเส้นประสาทใกล้ไขสันหลังหรือสมอง ต่อมาหลังจากเวลาผ่านไปหลายปี เมื่อภูมิต้านทานของร่างกายอ่อนแอลง ผู้ป่วยก็จะเกิดเป็นโรคงูสวัดขึ้น
ผู้ป่วยโรคงูสวัดจะมีอาการเป็นผื่นถุงน้ำใสตามแนวเส้นประสาทของผิวหนังครึ่งซีกของร่างกาย สามารถเกิดที่บริเวณใดก็ได้ของร่างกาย แต่ส่วนใหญ่มักจะเป็นที่บริเวณหลังและหน้าอก ร่วมกับมักจะมีอาการปวดมาก
ถึงแม้ว่าโรคงูสวัดจะไม่ใช่ภาวะเร่งด่วนในการักษา แต่งูสวัดก็ทำให้เกิดการเจ็บปวดมาก ดังนั้นการที่ผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมและรวดเร็ว จะช่วยลดระยะเวลาการเป็นโรคและช่วยลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนได้
อาการของผู้ป่วยโรคงูสวัด สามารถแบ่งได้เป็น 3 ระยะ คือ
1. ระยะเตือนก่อนเป็นผื่น (Prodromal phase) : เป็นช่วงที่เริ่มมีการอักเสบของเส้นประสาท ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตามแนวเส้นประสาทครึ่งซีกของร่างกาย แต่ยังไม่มีรอยโรคปรากฏที่ผิวหนัง ระยะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-3 วัน
2. ระยะที่มีผื่น (Acute phase) : เป็นช่วงที่มีรอยโรคปรากฏให้เห็นที่ผิวหนังตามแนวของเส้นประสาท โดยลักษณะของรอยโรคจะเปลี่ยนแปลงตามเวลา คือ ระยะแรกจะเห็นเป็นตุ่มน้ำใสอยู่กันเป็นกลุ่มและฐานของตุ่มน้ำเป็นสีแดง ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นตุ่มหนอง จากนั้นจะตกสะเก็ดในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีอาการปวดที่ผื่นอยู่ตลอดเวลา ต่อเนื่องมาจากระยะแรก
ผู้ป่วยที่มีการอักเสบไม่รุนแรง เวลาผื่นหาย จะมีรอยเหลืออยู่แค่ชั่วคราวและไม่เกิดแผลเป็น แต่ในรายที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จะมีการอักเสบลึก ทำให้มีเลือดออกในตุ่มน้ำและอาจกลายเป็นเนื้อตาย ทำให้หลังจากแผลหายจะกลายเป็นแผลเป็น
3. ระยะหลังจากผื่นหาย (Chronic phase) : เป็นช่วงหลังจากที่รอยโรคที่ผิวหนังหายแล้ว ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะยังมีอาการปวดหลังเหลืออยู่ ซึ่งถ้ารุนแรงจะทำให้ผู้ป่วยเกิดความทรมานได้มาก
งูสวัดมีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่า Varicella-zoster virus ซึ่งเป็นชนิดเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคไข้อีสุกอีใส โดยหลังจากผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสนี้เป็นครั้งแรก ผู้ป่วยจะเกิดอาการของโรคไข้อีสุกอีใส หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะไปซ่อนอยู่ในเส้นประสาทใกล้ไขสันหลังหรือสมอง เมื่อร่างกายมีภูมิต้านทานลดต่ำลง เชื้อไวรัสที่ซ่อนตัวอยู่จะแบ่งตัวมากขึ้นอย่างรวดเร็วหรือเกิดจากผู้ป่วยมีการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ซ้ำ ทำให้เกิดการอักเสบของเส้นประสาทและเกิดรอยโรคที่ผิวหนังตามแนวของเส้นประสาทนั้น
สาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคงูสวัดยังไม่ทรายแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกี่ยวข้องกับภาวะที่ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่ต่ำลง เช่น เมื่ออายุมากขึ้น, เป็นโรคหรือกินยาที่ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น เป็นโรคเอดส์หรือกินยากดภูมิคุ้มกัน ซึ่งในกลุ่มนี้สามารถมีอาการได้ตั้งแต่อายุน้อยๆ และโรคมักมีความรุนแรงมากกว่าคนปกติ
ผู้ที่เป็นโรคงูสวัดสามารถแพร่เชื้อไวรัส VZV ไปยังผู้ที่ยังไม่เคยเป็นโรคไข้อีสุกอีใสได้ โดยติดต่อกันทางการสัมผัสที่ผื่นโดยตรง ทำให้คนที่สัมผัสเกิดเป็นโรคไข้อีสุกอีใสขึ้น (ไม่ได้ทำให้เกิดโรคงูสวัด)
ประวัติ : ผู้ป่วยจะมาพบแพทย์ด้วยผื่นและปวดดังที่กล่าวมาแล้ว
การตรวจร่างกาย :
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฎิบัติการ : แพทย์จะยืนยันการวินิจฉัยโดยการขูดผิวหนังหรือถุงน้ำไปย้อมพิเศษ (Tranck’s smear) จะพบลักษณะเฉพาะของโรคนี้
งูสวัดแม้จะเป็นโรคที่สามารถหายได้เอง ใน 2-3 สัปดาห์ แต่การรักษาที่ถูกต้องจะช่วยบรรเทาอาการปวด, ทำให้หายจากโรคเร็วขึ้น และลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนลงได้ ร่วมกับความรุนแรงของโรคมีความแตกต่างกันได้มากในผู้ป่วยแต่ละราย ดังนั้นการพิจารณาเลือกการรักษาจึงต้องคำนึงถึงความรุนแรงของโรค, ภาวะแทรกซ้อนและภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเป็นหลัก
การรักษาประกอบด้วย
1. ยาต้านไวรัส : จะให้ผลการรักษาที่ดีต้องให้หลังจากเริ่มเกิดผื่นภายใน 72 ชั่วโมง ข้อบ่งชี้ในการให้ยาคือ
ยาต้านไวรัสที่ให้ส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบกิน นานประมาณ 5-7 วัน แต่ในรายที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่องและมีอาการรุนแรง ควรให้ยาเข้าหลอดเลือดดำ ตัวอย่างยา คือ Acyclovir, Valacyclovir และ Famciclovir
2. การรักษาตามอาการ : ได้แก่
3. การให้คำแนะนำ : ให้ผู้ป่วยเข้าใจถึงธรรมชาติของโรค
ยาที่ใช้บ่อย acyclovir, amitriptyline, gabapentin
1.อภิชาติ ศิวยาธร, กนกวลัย กุลทนันทน์ บรรณาธิการ. โรคผิวหนังต้องรู้ : สำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. 2545, 77-80.
2.ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2010 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2548, 227-230.