ค้นหาโรคและความเจ็บป่วย / อาการ

อ่าน: 1074
Small_font Large_font

สิว (Acne)

คำจำกัดความ

สิวเป็นความผิดปกติของหน่วยรูขุมขนและต่อมไขมัน (Pilosebacious gland) ซึ่งปกติจะอยู่ทั่วๆไปบนผิวหนังของคนเรา แต่โดยมากมันเป็นบริเวณหน้าคอ และลำตัวส่วนบน ซึ่งเป็นตำแหน่งที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่หนาแน่น ปกติไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามเส้นขน หากมีการอุดตันของทางเดินของต่อมไขมันก็จะทำให้เกิดสิว สิวมีหลายชนิดที่พบบ่อยๆได้แก่ สิวธรรมดาหรือที่เรียกว่า Acne vulgalis, สิวหัวดำ, สิวที่มีการอักเสบเป็นหนอง บางรายมีตุ่มหนองด้วย

อายุที่เริ่มเป็นสิวมักอยู่ช่วงระหว่าง 12-15 ปี มักจะรุนแรงสุดในช่วงอายุ 17-21 ปี ประมาณร้อยละ 90 สิวจะเริ่มหายไปเมื่ออายุ 25 ปี ส่วนน้อยที่จะเป็นสิวไปจนถึงอายุ 45 ปี

อาการ

ลักษณะทางคลินิก
ลักษณะทางคลินิกของสิว บริเวณที่เป็นสิวบ่อย คือ หน้า รองลงมา คือ คอ หลัง และอกส่วนบน แบ่งสิวได้เป็น 2 ลักษณะ คือ

ก. ชนิดไม่อักเสบ คือ สิวที่เกิดจากการอุดตันของรูขน เรียกว่า comedone มี 2 ชนิด

  • closed comedone เป็นตุ่มกลมเล็กแข็งสีขาวจะเห็นชัดขึ้นเมื่อดึงผิวหนังให้ตึงหรือโดยการคลำ
  • open comedone เป็นตุ่มกลมเล็กแข็งคล้าย closed comedone แต่ตรงยอดมีรูเปิดและมีก้อนสีดำอุดอยู่

ข. ชนิดอักเสบ ได้แก่

  • papule มีลักษณะเป็นตุ่มสีแดงขนาดเล็ก
  • pustule มีลักษณะเป็นตุ่มหนอง แบ่งเป็นตุ่มหนองบริเวณผิวหนังชั้นบน (superficial) และ ผิวหนังชั้นลึก (deep pustule)
  • nodule มีลักษณะเป็นก้อนสีแดง ภายในมีหนองปนเลือด บางครั้งอาจเป็นหลายหัวติดกัน
  • cyst มีลักษณะเป็นก้อนนูนแดง นิ่ม ภายในมีหนองปนเลือด

เมื่อสิวหายอาจจะเหลือร่องรอยได้หลายแบบ ได้แก่ รอยแดง, รอยดำ, หลุมแผลเป็น, แผลเป็นนูน

การจัดระดับความรุนแรงของสิว

  • สิวเล็กน้อย (mild acne) หมายถึง มีหัวสิวไม่อักเสบ( comedone) เป็นส่วนใหญ่ หรือมีสิวอักเสบ (papule และ pustule)ไม่เกิน 10 จุด
  • สิวปานกลาง (moderate acne) หมายถึง มี papule และ pustule ขนาดเล็กจำนวนมากกว่า 10 จุด และ/หรือ มี nodule น้อยกว่า 5 จุด
  • สิวรุนแรง (severe) หมายถึง มี papule และ pustule มากมาย มี nodule หรือ cyst เป็นจำนวนมากหรือมี nodule อักเสบอยู่นานและกลับเป็นซ้ำหรือมีหนองไหล

สาเหตุ

เกี่ยวข้องกับปัจจัยหลัก 5 อย่างคือ

  • 1. ต่อมไขมันที่มีการสร้างและหลั่งไขมัน (Sebum) มากเกินไป
  • 2. ความผิดปกติของการสร้างเซลล์ชั้นขี้ไคลของรูขน
  • 3. แบคทีเรียบางชนิด เช่น Propionibacterium acne ซึ่งอาศัยอยู่ในรูขน
  • 4. เกิดจากเซลล์ภูมิคุ้มกันบางตัวที่มีการหลั่งสารทำให้เกิดการอักเสบ
  • 5. มีการเปลี่ยนแปลงของรากผม รากผมเจริญเร็วเซลล์มีการแบ่งตัวเร็ว และมีเซลล์ที่ตายมาก จึงเกิดการอุดตันของต่อมไขมัน

โดยธรรมชาติของมนุษย์เมื่อช่วงเข้าสู่วัยรุ่นจะเริ่มมีการสร้างฮอร์โมนที่เรียกว่า แอนโดรเจน(Androgen) ต่อมไขมันจะเริ่มตอบสนองต่อฮอร์โมนนี้เมื่ออายุประมาณ 7-8 ปี ทำให้มีการหลั่งไขมันมากขึ้น นอกจากนี้แอนโดรเจนเองยังกระตุ้นให้มีการสร้างเซลล์ชั้นขี้ไคลของรูขุมขนได้ด้วย ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า ไมโครโคมีโดน(Microcomedone) ซึ่งเป็นต้นเหตุของสิว Microcomedone นี้อาจจะหายไปได้เองหรือพัฒนาต่อไปกลายเป็นสิวลักษณะต่างๆกันได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยร่วมบางอย่าง เช่น หากมีการสะสมของไขมันและเซลล์ชั้นขี้ไคลมากขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เกิดเป็นสิวอุดตัน (Closed Comedone) หรือ เกิดสิวหัวเปิด(Open Comedone) แต่ถ้ามีแบคทีเรีย Propionibacterium acne หรือถูกเซลล์ภูมิคุ้มกันหลั่งสารบางชนิด ก็จะทำให้เกิดการอักเสบของ Microcomedone จนกลายเป็นสิวอักเสบที่มีลักษณะ แดง นูน เป็นหนองได้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสิวมีปริมาณมากหรือน้อย

  • กรรมพันธุ์
  • การทำงานของต่อมไขมัน หากที่ใดที่ต่อมไขมันมากร่วมกับการดูแลรักษาความสะอาดไม่ทั่วถึงก็ทำให้เกิดสิว
  • อาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่ก็มีความเชื่อกันว่าการรับประทานอาหารที่มัน หรือหวานจะเกิดสิวได้ง่าย
  • อากาศ ขึ้นกับแต่ละคนบางคนเป็นมากในฤดูหนาว บางคนฤดูร้อน
  • อารมณ์ คนที่อารมณ์ดีจะเกิดสิวน้อยกว่าคนที่อารมณ์เสีย
  • การใช้เครื่องสำอางเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเกิดสิว การเลือกสบู่ที่เหมาะกับสภาพผิวหนัง คนที่มีแห้งควรจะใช้สบู่ที่เป็นด่างอ่อน คนที่ผิวมันก็อาจจะใช้สบู่ที่มีความเป็นด่างมากขึ้นได้ หรืออาจจะใช้สบู่ที่มีด่างอ่อนแต่ล้างหน้าบ่อยขึ้น
  • ครีมบำรุงผิวก็ต้องเลือกให้ถูกกับผิวหน้า คนที่ผิวแห้งไม่ควรใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบ คนที่ผิวมันก็หลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีไขมันสูง
  • การระคายผิว เช่น การล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว
  • ยาบางชนิดทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น เช่น INH Iodides Bromide Steroid Testosterone Gonadotropine Anabolic steroid ยาคุมกำเนิด

การวินิจฉัย

อาศัยจากประวัติ การตรวจร่างกายลักษณะของสิว ร่วมกับการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ซึ่งโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้

1. สิวในผู้ที่มีอาการแสดงของ Hyperandrogenism เช่น ผู้หญิงอ้วนที่มีขนดก ประจำเดือนผิดปกติเป็นประจำ เสียงห้าว ศีรษะล้านแบบผู้ชาย ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางนรีเวชและต่อมไร้ท่อด้วย

2. รูขุมขนอักเสบ (folliculitis) จากสาเหตุอื่น ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรียกรัมลบ gram-negative folliculitis , pityrosporum folliculitisโดยทำ pus smear และย้อมพิเศษ

3.โรคอื่นที่คล้ายสิว อาจต้องตัดชิ้นเนื้อผิวหนังเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา

ภาวะแทรกซ้อน

สิว โดยเฉพาะสิวอักเสบเวลาหายแล้วอาจเหลือร่องรอยไว้ เช่น รอยดำและรอยแดงจากสิว แผลหลุมจากสิว แผลเป็นนูน การรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น ประกอบด้วย

รอยดำและรอยแดงจากสิว

  • ซึ่งจะใช้เวลานานหลายเดือนถึงปี กว่าจะจางหากต้องการจางเร็วก็มีการรักษาโดยการทายาในกลุ่มวิตามินเอ วิตามินซี กรดผลไม้ AHA
  • ส่วนเรื่องรอยแดงสิว ทายาทั่วๆไปไม่สามารถให้ผลได้ดีนัก การใช้เลเซอร์หรือแสงความเข้มสูง (IPL, FPL) จะทำให้รอยแดงจางได้เร็วขึ้น

แผลหลุมจากสิว

  • ยาทาในกลุ่ม กรดวิตามินเอ, AHA
  • การขัดหน้าด้วยผงอัญมณี หรือขัดด้วยหัวเพชร
  • เลเซอร์

แผลเป็นนูน

  • ยาฉีดเฉพาะที่, ยาทา
  • Cryotherapy
  • เลเซอร์ ส่วนใหญ่จะช่วยลดรอยแดงของแผลเป็นมากกว่าความนูน
  • แสง Infrared ช่วยลดรอยแดงและทำให้แผลเป็นนูนนิ่มขึ้นได้บ้าง

การรักษาและยา

การรักษา หลักการรักษามีอยู่ 4 ประการ คือ

  • 1. ลดการสร้างของต่อมไขมัน
  • 2. ปรับขบวนการสร้างเซลล์ขี้ไคลที่รูขน
  • 3. ลดจำนวนแบคทีเรียในการก่อสิวอักเสบที่สำคัญคือ P.acne
  • 4. ลดการอักเสบของสิว คือ ลดอาการบวมแดงยาที่ใช้ในการรักษาสิวจะมีทั้งในรูปแบบของยากินและยาทาเฉพาะที่ ซึ่งจะพิจารณาตามความรุนแรงของสิว และลักษณะของสิวที่เป็น

กลุ่มยารับประทาน
1. ยาในกลุ่มกรดวิตามินเอ (Isotretinoin)
มักจะใช้ในผู้ป่วยที่เป็นสิวที่รุนแรงหรือไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาอื่นๆ ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์เพราะมีโอกาสเกิดความพิการของทารกในครรภ์ได้ เมื่อให้ในผู้ป่วยหญิงวัยเจริญพันธุ์ ต้องให้คำแนะนำแก่ผู้ป่วยถึงการคุมกำเนิดอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในขณะกินยาและหลังหยุดยาอย่างน้อย 1 เดือน ควรงดบริจาคโลหิตระหว่างการรักษาและหลังการรักษาอย่างน้อย 3 เดือน ไม่ควรใช้ในเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เพราะมีผลต่อความสูงของเด็กได้

2. ยาในกลุ่มของฮอร์โมน หรือยาคุม จะลดความมันของหน้าได้ประมาณ 20-30% ช่วยให้สิวในผู้หญิงดีขึ้น ไม่ควรใช้ในเด็ก, ในรายที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดในหลอดเลือดและหัวใจ และในผู้ที่มีประวัติเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านม นอกจากนั้นยาอาจจะมีผลต่อเรื่องน้ำหนักตัว ความดันโลหิตสูง กระตุ้นอาการปวดศีรษะไมเกรนได้ และเพิ่มการแข็งตัวของเลือด

3. ยากลุ่มยาปฏิชีวนะ ซึ่งมีใช้หลายตัว เช่น Tetracyclin, Doxycycline, Erythromycin การกินยาปฏิชีวนะนานๆ อาจจะมีผลต่อการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ยารับประทานทุกตัวไม่ควรหาซื้อกินเอง ควรปรึกษาแพทย์โรคผิวหนังก่อนเสมอ เพื่อทราบถึงผลข้างเคียงและข้อควรระวังในการใช้ยา

กลุ่มยาทา
1. ยาทาในกลุ่มวิตามินเอและอนุพันธ์ของวิตามินเอ เช่น Tretinoin, Adapalene,Tazarotene ได้ผลดีโดยเฉพาะสิวอุดตัน และยังใช้เป็นตัวป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่หรือน้อยลงได้ในระยะยาว แต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง โดยเฉพาะเมื่อเริ่มต้นใช้ในระยะแรกๆ

2. ยาทาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น 1% Clindamycin, Erythromycin, Metronidazole ซึ่งจะให้ผลในการลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อสิวอักเสบไม่ควรใช้ยากลุ่มนี้อย่างเดียวเพราะทำให้สิวดื้อยาได้

3. ยาทากลุ่ม Benzyl peroxide มีฤทธิ์ในการลดจำนวนแบคทีเรียและลดการอักเสบของสิวแต่ยามีฤทธิ์ระคายเคืองได้บ้าง และกัดสีเสื้อผ้าได้ ระวังไม่ทำยาเลอะเสื้อผ้า โดยเฉพาะเสื้อผ้าสีเข้ม

4. Azeliaic acid ฆ่าแบคทีเรียที่ก่อสิวและลดจำนวน Comedone ได้

กลุ่มยาฉีด
การฉีด steroid เข้าใต้หัวสิว เช่น การฉีดสเตียรอยด์ปริมาณน้อยๆ ที่สิวอักเสบจะลดการอักเสบที่สิวได้เร็ว แต่ถ้าฉีดมากไปหรือลึกเกินไปจะทำให้ผิวหนังบริเวณที่ฉีดเกิดรอยบุ๋ม

กลุ่มอื่นๆ
Laser and light therapy : เป็นการรักษาที่ลงลึกไปถึงผิวหนังชั้นล่างโดยปราศจากการทำลายผิวด้านบน การใช้ laser จะทำลายต่อมไขมัน ส่วนการใช้ light จะช่วยทำลายแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ นอกจากนี้ยังช่วยลบเลือนรอยแผลเป็นอีกด้วย แต่การรักษาด้วยวิธีนี้อาจทำให้ใบหน้ามีปัญหาคล้ายกับโดนแดดแผดเผา

วิธีป้องกัน ง่ายๆ คือ การกำจัดปัจจัยที่ก่อให้เกิดสิว ไม่ให้มันกำเริบ โดยมีข้อแนะนำต่างๆ ดังนี้

  • 1.นอนหลับให้เพียงพอ – การนอนหลับไม่เพียงพอ อาจเป็นสาเหตุให้เกิดสิวเช่นกัน เนื่องจากร่างกายเราอ่อนแอและเพลีย
  • 2.อารมณ์ขัน – อารมณ์ขัน ทำให้เรามีความสุข ปราศจากความเครียด ซึ่งความเครียดเป็นสาเหตุของสิว
  • 3.กินอาหารจำพวกผัก – การที่เรากินอาหารจำพวกผัก จะทำให้เราสามารถล้างพิษออกจากร่างกายได้ และยังมีวิตามินต่างๆ ซึ่งยังช่วยทำให้เราร่างกายแข็งแรงอีกด้วย
  • 4.กินอาหารที่มีไขมันสูงแต่พอดี – หากเราเกิดอาหารไขมันสูงมากๆ เข้า จะทำให้มีไขมันอยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นสาเหตุอีกประการของการเกิดสิว
  • 5.ล้างหน้าให้สะอาด – การล้างหน้าให้สะอาดทำให้ใบหน้าของเราไม่สกปรก เป็นอีกหนึ่งวิธีป้องกัน แต่ควรระวัง ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะทำให้หน้าของเราเสียสมดุล การล้างหน้า ควรล้างเพียง 2 ครั้ง เช้าเย็น ยกเว้น ช่วงที่เสร็จจากกีฬา, ออกกำลังกาย หรือ ช่วงที่คิดว่าหน้าเราสกปรกมากจริง ๆ สามารถล้างหน้าได้ตามต้องการ
  • 6.ใช้กระดาษซับหน้ามัน – หากหน้าเรามันมากๆ ลองเปลี่ยนมาใช้กระดาษซับหน้ามันแทน เป็นวิธีช่วยอีกทางหนึ่ง ควรซับแต่พอดี ไม่ควรซับทั้งวันจะดูไม่ดีและเสียนิสัย
  • 7.หลีกเลี่ยงการจับหัวสิว ยุ่งกับผิวให้น้อยที่สุด – เพราะฝ่ามือของเรามีทั้งความสกปรก และ แบคทีเรีย ซึ่งเป็นตัวก่อให้เกิดสิว
  • 8.ใช้หลังฝ่ามือลูบแทน – หลังฝ่ามือเป็นบริเวณที่เราไม่ยุ่งเกี่ยวมากที่สุด จึงเป็นบริเวณที่ค่อนข้างสะอาด ดังนั้นแล้วการใช้หลังฝ่ามือลูบคลำเล็ก ๆ น้อยๆ ถือว่าไม่ทำให้สกปรกมากนัก แต่เราควรล้างมือให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
  • 9.ใช้ยากำจัดหัวสิว – ปัจจุบันมีอยู่ทั่วไปตามศูนย์การค้า
  • 10.ใช้ยาที่มีส่วนผสมของวิตามินเอ – วิตามินเอมีสรรพคุณรักษาสิวอยู่ด้วย ซึ่งมียาทาใบหน้าที่มีส่วนผสมของวิตามิน A สุดอยู่ สามารถสอบถามตามร้านขายยาทั่วไป
  • 11.ใช้ยาอย่างจริงจัง – การใช้ยาที่มีฤทธิ์แรงกว่าเดิม โดยเน้นไปที่ยาประเภท เบนซอย์เพอรอกไซด์ (Benzoyl Peroxide) หรือประเภทที่มีกรดซาลิซีลิก (Salicylic Acid) ที่มีเปอร์เซ็นต์ต่ำ ข้อควรระวัง ควรเริ่มใช้จากเปอร์เซ็นต์ต่ำๆ ไม่ควรใช้เปอร์เซ็นต์สูงๆ จะทำให้ผิวเราแพ้ และอาจเกิดอาการแพ้ยา
  • 12.ใช้ยาฉีดแบบเฉียบพลัน – แพทย์สามารถฉีดคอร์ติโชน ที่เม็ดสิวเพื่อให้สิวยุบภายในไม่กี่ชั่วโมง
  • 13.ปรึกษาแพทย์ – หากใช้วิธีต่างๆ ไม่ได้ผล แนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เป็นการดีที่สุด เนื่องจากสิวอาจเกิดจากกรรมพันธุ์ หรือ ฮอร์โมน ซึ่งการปรึกษาแพทย์จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายที่ควรทำ ซึ่งปัจจุบัน ยังมีคลินิกรักษาหน้าเปิดอยู่ทั่วไป

ยาที่เกี่ยวข้อง

ยาที่ใช้บ่อย Tetracyclin, Doxycycline, Erythromycin, Tretinoin, Benzyl peroxide

แหล่งอ้างอิง

1.อภิชาติ ศิวยาธร, กนกวลัย กุลทนันทน์ บรรณาธิการ. โรคผิวหนังต้องรู้ : สำหรับเวชปฏิบัติทั่วไป. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน. 2545, 171-176.
2.ปรียา กุลละวณิชย์, ประวิตร พิศาลบุตร บรรณาธิการ. ตำราโรคผิวหนังในเวชปฏิบัติปัจจุบัน Dermatology 2010 พิมพ์ครั้งที่ 1 กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ โฮลิสติก พับลิชชิ่ง. 2548, 56-69.



27 พฤษภาคม 2553 31 มกราคม 2554
เพื่อนแนะนำ : เงินด่วน 30 นาทีถูกกฎหมาย, เราชนะรอบ 4, ยืมเงิน 3000 ด่วน, แอพผ่อนของ, กู้เงิน, สมัครบัตรเครดิต, สินเชื่อไม่เช็ค บูโรถูกกฎหมาย