1. ผู้ที่สูบบุหรี่และมีอายุ 35 ปีขึ้นไป ก่อนเริ่มใช้ยาคุมต้องเลิกสูบบุหรี่ หากไม่สามารถเลิกสูบบุหรี่ได้อาจต้องพิจารณาให้ใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
2. มีความดันโลหิตสูง ควรพบแพทย์หรือเภสัชกรเพื่อวัดระดับความดันโลหิตก่อน หากต่ำกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท อาจพิจารณาให้ใช้ยาได้ แต่ต้องมีการติดตามระดับความดันอย่างต่อเนื่อง หากมีความดันสูงกว่า 140/90 มิลลิเมตรปรอท ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม ควรคุมกำเนิดโดยใช้ถุงยางอนามัย หรือปรึกษาแพทย์เพื่อคุมกำเนิดโดยวิธีอื่น เช่น ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว
3. กำลังให้นมบุตร เริ่มกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมได้หลังจากที่ลูกเลิกดื่มนมจากแม่แล้ว หรือ 6 เดือนหลังจากคลอดบุตร
4. ผู้ที่คลอดบุตรนานกว่า 3 สัปดาห์ แล้วยังไม่มีน้ำนมให้ลูกหรือมีน้ำนมน้อย สามารถเริ่มกินยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมได้เลย
5. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ หรือหลอดเลือด ควรปรึกษาแพทย์ถึงอาการแสดงทางหัวใจและหลอดเลือดที่เคยเกิดขึ้น ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมในผู้ที่มีประวัติการเจ็บหน้าอกเนื่องมาจากโรคหัวใจ, เส้นเลือดในสมองแตก, หลอดเลือดอุดตัน, เป็นโรคเบาหวานนานกว่า 20 ปี
6. ผู้ที่มีประวัติลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดดำ ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด แต่ถ้าเป็นเส้นเลือดดำขอดที่บริเวณผิวหนังสามารถใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวมได้
7. ผู้ที่เป็นโรคมะเร็งเต้านม ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด
8. ผู้ที่เป็นโรคตับ ดีซ่าน ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิด
9. ผู้ที่มีประวัติปวดหัวรุนแรงบ่อยครั้ง ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ และหากมีอายุตั้งแต่ 35 ปี ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม
10. ผู้ที่กำลังเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือกำลังได้รับยารักษาโรคนี้อยู่ ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนรวม
11. ผู้ที่ปวดหัวไมเกรน ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนเพื่อประเมินความรุนแรงของโรค
12. ผู้ที่ได้รับยาต้านการชัก หรือยาต้านวัณโรค หากได้รับยา barbiturates, carbamazepine, oxcarbazepine, phenytoin, primidone, topiramate หรือ rifampicin ไม่ควรใช้ยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนรวม
อ้างอิง
Medical Eligibility Criteria for Combined Oral Contraceptives (WHO 2007)